วันพุธที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ย้ายสัมโนบล็อคครับ

ตามต่อและอ่่านเรื่องราวของผมผ่านบล็อค (จริงๆ) ได้ครับที่ Do in Thai

ไปที่ บล็อคใหม่ ของผม (จริงๆ)

วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

Social Network ในปัจจุบันกับการอยู่ร่วมในสังคม

ณ เวลานี้ ถ้าจะเอ่ยถึง Social Networking คงไม่มีบุคคลที่ทำงานด้าน IT คนไหนที่ไม่รู้จัก เนื่องจากตัว Model ของเว็บไซต์ประเภท Social Network ที่กล่าวมาข้างต้นนั้น มีพลังที่เรียกได้ว่า สมาชิกสามารถสร้าง ร่วมกันสร้าง ร่วมกันเผยแพร่ และเติบโตจนถึงจุดที่เรียกได้ว่า เป็นกลุ่ม community ที่สามารถต่อยอดและเป็นผลผลิตให้เกิดกิจกรรมอื่นๆ ในอนาคตได้ไม่ยากเย็นนัก แต่ในแง่ของเว็บไซต์ Social Networking ชั้นแนวหน้าของโลกในปัจจุบันนั้น จัดอยู่ในประเภท Web 2.0 ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า Web 2.0 นั้น มีคำนิยามสั้นๆ ว่า “เป็นเว็บที่ เปิดโอกาสให้ user สามารถเข้าไปมีส่วนร่วม สร้างเนื้อหา สร้าง content ได้ง่ายและสะดวกมากขึ้น ร่วมทั้งสามารถ join group ต่างๆ ในคอมมูนิตี้นั้นๆ ได้อย่างไม่ยากเย็น” ด้วยเหตุผลข้างต้น ทำให้ ผู้ใช้มีหลายระดับ หลายวุฒิปัญญา ร้อยพ่อพันแม่ มาอยู่ร่วมกัน จึงไม่แปลกที่ จะมี ผลผลิตที่ตกผลึกออกมาอยู่ในรูปแบบกิจกรรม หรือความสนใจในหมวดหมู่เชิงไร้สาระ หรือเรียกอย่างเป็นทางการว่า “กลุ่มที่ใช้ Social Networking ในทางที่ผิด” ซึ่งเรียกว่าเป็นด้านมืดของ Social Networking ซึ่งทุกๆ ท่านคงจะทราบกันดี ผมขอไม่เอ่ยชื่อ เว็บเหล่านั้น เพียงแต่สิ่งที่ผมอยากจะพูด ณ วินาทีนี้คือ ระบบกลั่นกลอง และภาพสะท้อนให้เห็นถึงความระดับของความรับผิดชอบของตัวเว็บไซต์เอง รวมไปถึงการส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมในเชิงการประชาสัมพันธ์หรือ Policy แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น ผมยังมีความเชื่อว่าคุณประโยชน์จาก Social Network นั้นมีมากกว่าโทษแน่นอน และยังคงเป็นอยู่แบบนี้เรื่อยๆ หากแต่ว่าผู้ใช้เอง ยังต้องยกระดับการใช้งาน และร่วมกันส่งเสริม ชี้นำเยาวชนให้เริ่มรู้จักจากด้านสว่าง ผมเชื่อว่าผู้ใหญ่ และผู้ที่กำลังจะเป็นผู้ใหญ่ ในปัจจุบันสามารถส่งเสริมจุดนี้ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งปัจจุบัน มี Social Network หลายๆ ที่ ที่ผมคิดว่ามีประโยชน์ และใช้งานเป็นการผ่อนคลายหรือจะใช้งานเป็นแหล่งพบปะ ติดต่อสังสรรค์ หรือจัดกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์กันภายในกลุ่มนั้นๆ ปัจจุบันมีหลายเว็บมากมาย ที่ผมจะแนะนำให้พี่ๆ น้องๆ ได้รู้จักกัน Social Network หลักๆ ที่ผมจะนำเสนอมีดังต่อไปนี้ครับ

1. Last.fm ( http://www.last.fm )
ตัวนี้เป็น Community ประเภทบันเทิงครับ หลักๆ คือ สามารถ Link กันใน group หรือ กลุ่มผู้ฟังเพลงที่สนใจแนวเพลงเดียวกัน หรือใครสนใจศิลปินใดอยู่ ก็สามารถ search และทำการ contact กันต่อไป

2. Facebook ( http://www.facebook.com )
เป็น Social Network ที่น่าสนใจไม่แพ้ ตัวแรกที่ผมได้แนะนำไป เพียงแต่ว่าอาจจะความหลากหลายด้านเชื้อชาติ หลากหลายความสนใจ และโดยมากจะเป็นกลุ่มคนอยู่ในวัยเรียนระดับอุดมศึกษาขึ้นไป ที่เข้ามาใช้งาน Facebook แห่งนี้ ที่สำคัญ สามารถสร้าง group และ application เพื่อใช้งานกันภายใน หรือแจกจ่ายให้สมาชิกท่านอื่นได้ร่วมทดสอบได้อีกด้วย

3. SlideShare ( http://www.slideshare.net )
ชื่อเว็บก็บ่งบอก และสื่อถึงตัวมันเองเลยครับ จ้าวนี้เป็นแหล่งแบ่งปันสารสนเทศประเภทงานนำเสนอ ไม่ว่าจะเชิงวิชาการ หรือ content ที่เป็น slide อื่นๆ ก็ยังมีอีกเช่นกัน สามารถลิงก์ไปมาระหว่าง user ด้วยกัน รวมถึง ระบบ group ก็มีให้ใช้เหมือน Social Network อื่นๆ ครับ

4. Flickr ( http://www.flickr.com )
ผมไม่มั่นใจว่าเว็บนี้จะจัดเป็น Social Network ดีหรือไม่ แต่ในความรู้สึกผม มันบอกว่าใช่ เป็นเว็บไซต์ในเครือของ yahoo.com ซึ่งเดิมทีนั้น เป็นเว็บไซต์คลังเก็บภาพ ขนาดใหญ่ สามารถแชร์ให้เพื่อนๆ ได้ดูกัน รวมถึงคุณสมบัติพื้นฐาน เช่นการแปะ tag ชื่อภาพ คำบรรยาย อื่นๆ อีกมากมาย มีคุณสมบัติของ Social Network ในเบื้องต้นครบถ้วน เรียกได้ว่า สนใจเรื่องเดียวกัน ก็สามารถ contact หรือ search หาภาพที่เกี่ยวข้องได้โดยง่าย เช่น อาจจะค้นหา ผู้ที่ไปร่วมงานหรือ Event เดียวกัน ก็มา ค้นหาจาก flickr ที่นี่เอง ( ผมชอบมากๆ )

5. LinkedIn ( http://www.linkedin.com )
เป็น Social Network ประเภทกลุ่มคนทำงาน หรือกลุ่มงานนั่นเอง โดยส่วนตัวผมได้ทดลองใช้ รู้สึกว่าใช้งานยากไปนิดนึง แต่ในเบื้องต้นก็มีเพื่อนๆ คนรู้จักหลายๆ คนใช้เป็นเครื่องมืออันทรงพลังในการติดต่อกับเพื่อนร่วมงานที่เคยทำงานที่ เดียวกัน หรือกลุ่มคนที่สนใจประเภท งานที่เหมือนๆ กัน สำหรับคนทำงานด้าน IT นับว่าไม่เลวเลยทีเดียว

6. Hi5 ( http://www.hi5.com )
จากกระแสที่ไม่ค่อยสู้ดีนักของ Hi5 เนื่องจากกลุ่มผู้ใช้นำไปใช้งานในเชิงลบเสียส่วนใหญ่ คนจึงกล่าวถึง Hi5 ในเชิงลบเสียกึ่งหนึ่ง จึงทำให้ดูหม่นหมอนไป แต่ในเชิงจำนวนของกลุ่มผู้ใช้แล้ว ไม่แพ้ Social Network อื่นๆ เลยทีเดียวครับ และ Hi5 ก็พยายามที่จะพัฒนาคุณสมบัติ เพิ่มเติมอยู่เรื่อยๆ เพื่อตอบสนองผู้ใช้อยู่เรื่อยๆ อีกทั้งกลุ่มอายุผู้ที่ใช้งาน Hi5 นั้นอยู่ในช่วง วัยทีน จะเยอะมาก

7. Yahoo Upcoming ( http://upcoming.yahoo.com )
สำหรับ Yahoo เอง ก็มีอีกบริการหนึ่ง เป็น Sub Service ที่ชื่อว่า Upcoming ลักษณะที่ผมดูๆ แล้วจะ เน้นเรื่อง Event หรือความสนใจเป็นหลัก โดยรวมแล้วผมมองว่าคนไทยใช้กันน้อยมาก แต่ทางฝั่งยุโรป และจีน ตลาดของ Yahoo จ้าวนี้ เขาไปได้สวยมาก ซึ่งผมเองยอมรับว่า ไม่ค่อยได้ติดตามเท่าไหร่ แค่ไปสมัคร account เพื่อทดลองเท่านั้น

8. Gotoknow ( http://www.gotoknow.org )
Gotoknow เป็นความภาคภูมิใจของคนไทยเอง โดยได้ริเริ่มโดยกลุ่มนักพัฒนาในระดับอาจารย์ของสถาบันมหาวิทยาลัยชื่อดัง ของรัฐฯ และได้พัฒนาต่อมาเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน โดยอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลและส่งเสริม จาก “สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม” หรือ เรียกสั้นๆ ว่า”สคส. ซึ่งกลุ่มผู้ใช้หลักๆ ที่ผมดูแล้วจะเป็นกลุ่มวิชาชีพอาจารย์ ครู นักวิชาการด้านต่างๆ เนื่องจากรูปแบบที่ใช้งานง่าย มีความคล่องตัว รวมถึงคุณสมบัติที่ครบถ้วน โดยรูปแบบ จะออกแนว Blogging ซึ่งก็ไม่รู้ว่าอะไร ที่ทำให้ผมคิดว่า Gotoknow เป็น Social Network เพียงจุดเดียวที่ผมสังเกตเหตุจาก Gotoknow คือสาระเชิงวิชาการ ที่ถูก Generate จากกลุ่มผู้ใช้ในระดับปัญญาชน จากสาขาต่างๆ มากมาย ทำให้ผมชอบที่จะแวะเวียนไปหาบทความดีๆ มาอ่านอยู่เรื่อยๆ โดยสามารถค้นหา Tag ที่สนใจ และถึงกลุ่มบทความที่ต้องการได้โดย ตรงภายในเวลาอันสั้น รวมถึงการแชร์ความคิดเห็นต่างๆ จากจุดนี้เอง เป็นข้อสังเกตได้ว่า Gotoknow มีการแสดงความคิดเห็นจากปัญญาชนซึ่งโดยมากจะตกผลึกและกลั่นกรองโดยดีแล้ว ก่อนที่จะโพสต์หรือเผยแพร่ ทำให้ผมมองว่า “จุดประสงค์หลัก” และแนวทางของเว็บไซต์ จะเป็นตัวชี้และกำหนด รวมถึงกลั่นกรองระดับคุณภาพของสังคม WEB 2.0 นั้นๆ ไปโดยปริยาย โดยไม่ต้องเหนื่อยยากลำบากไปให้ความสำคัญกับการร่าง Policy และหามาตรฐาน หรือมาตรการมาป้องกันภัยสังคมอินเตอร์เน็ต อีกทั้งยังสามารถเอาเวลาไปพัฒนาตัวเว็บได้อีกเยอะ เลยทำให้ Gotoknow เป็นอีกหนึ่ง Social Network ที่มี Model ระดับคุณภาพคับแก้วเชิงโครงสร้างและหลักการผมให้คะแนน 9 เต็ม 10 (ในสายตาของผม) สามารถเอาศึกษาเพื่อเป็นต้นแบบพื้นฐานในการออกแบบโครงสร้างและให้ผลผลิตดีๆ แก่สังคมอินเตอร์เน็ตของไทยได้อีกมากมาย

จากตัวอย่าง Social Network ที่ผมยกตัวอย่างมาเพียง 8 เว็บนั้น อาจจะขาดบางเว็บที่บางท่านอาจจะคิดว่าผมลืมได้อย่างไร จริงๆ แล้วต้องขออภัยที่ผมเพียงแต่จะนำเสนอเว็บที่ผมคุ้นเคย และได้พยายามเข้าถึงเท่านั้น หากแต่จะมีเว็บไซต์อื่นๆ อีกมากมายที่ผมไม่ได้พูดถึงก็สามารถแนะนำกันได้ครับ

ที่มา : http://jack.in.th/113
Credit : jack

วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ได้สาระอยู่นะ โฆษณายาสระผม

ดูตอนแรกคิดว่าไทยประกันชีวิตมาใหม่ แต่สุดท้ายขายยาสระผม แต่ดีมากๆครับ concept ก็ตามโฆษณาเค้า "เผยสิ่งดีๆในตัวคุณ"

วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

วิวัฒนาการของเว็บฯ

รู้สึกช่วงปลายๆกราฟจะยาวไปไกลเอาการเลยครับ แต่ดูจากจำนวนเว็บฯและคนเล่นเว็บฯในโลกนี้ตอนนี้ คงอีกไม่ไกลอย่างว่าครับ

จากพัฒนาการยุคแรกๆ จนมาถึงวันนี้เว็บฯ เติบโตจากการส่งผ่านข้อมูลแบบ static ด้วย HTML มาถึงตอนนี้ อะไรก็ไม่รู้นะครับ เยอะแยะมากมายไปหมด จะเห็นว่าช่วงการพัฒนาแต่ละขั้นมีการส่งต่อหรือการนำเทคโนโลยีจากยุคหนึ่งไปสู่อีกยุคหนึ่ง หรือมองลึกๆแล้วจะเห็นว่า บางครั้งมีการนำ concept ในยุคเก่ามาทำให้บรรลุผลในยุคใหม่นี้ด้วยครับ

ช่วงปลายๆกราฟที่ผมบอกไปแล้วว่า มันค่อนข้างไกล ผมหมายถึง ถ้าเรามองอีกมุม จะเห็นว่ามันอาจจะมาถึงเมื่อไหร่ไม่รู้ครับ แต่ที่รู้คือ เว็บฯกำลังพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเข้าในคนใช้และสังคมของคนใช้มากขึ้นเรื่อยๆ  และแน่นอนว่าเว็บฯจะเติบโตและกลายเป็นปัจจัยที่จำเป็นในโลกยุคหน้าในอีกไม่กี่สิบปีนี้แน่นอน

ผมคิดเล่นๆ ว่า ถ้าวันนึงมันมีแบบ DieHard4.0 กะ Eagle Eye ขึ้นมา เอาละกูีนี้ ชีวิตคงสนุกสนานกันน่าดู แหะๆ ใช้อย่างรู้เท่าทันกันนะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

Do in Thai #1 ตอน แนะนำกันซักเล็กน้อย


ดู อิน ไทย คือ สังคมออนไลน์เพื่อร่วมกัน "ทำ" สิ่งที่สร้างสรรค์ร่วมกับเพื่อนๆในเว็บฯ โดยคุณจะมีบล็อคส่วนตัวของคุณไว้สำหรับการเขียนบทความ และสามารถส่งข่าวสาร กิจกรรม ฯลฯ ให้กับสมาชิกเพื่อนๆนกลุ่ม และนอกกลุ่มของคุณ

เป้าหมายหลักของเรา คือ "ทำ" ประโยชน์ โดยเอาสิ่งที่ดีๆ จากสังคมออนไลน์นี้ กลับคืนสู่โลกสังคมภายนอกจริงๆ

และ สุดท้าย เรา คือ สังคมออนไลน์ในเชิงสร้างสรรค์ของนักเรียน นิสิต นักศึกษาไทย ที่จะส่งเสริมและสร้างสรรค์โลกออนไลน์นี้ให้ดี เพื่อนำประโยชน์แก่สังคมไทย ด้วยสโลแกนที่ว่า "เรียนรู้อย่างสนุกสนาน บนพื้นฐานของความเป็นไทย"

ตอนนี้กำลังจะเปิดเว็บฯรุ่น bataออกมาทดสอบกันแ้ล้วล่ะครับ ลองแวะๆเข้าไปดูกันก่อนได้ครับ เร็วๆนี้

ที่ do.in.th (i just do it.) 

วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ตามกระแส ตอน web 3.0

เห็นหลายๆคน (เริ่มพูดถึงเว็บแนวใหม่ -web2.0- กันเยอะขึ้น) ก็ดีใจนะครับ ที่คนที่ไม่ใช่ developer เริ่มเข้าใจและมองเห็นการพัฒนาด้านเว็บแอฟพลิเคชั่นมากขึ้น

วันนี้นั่งอ่านเรื่อง web2.0 อยู่นานพอสมควร เมืองนอกไปไกลกันมากแล้วครับ แทบจะเรียกว่าย้ายสัมมโนครัวขององค์กร ธุรกิจ หรือฐานข้อมูลไปไว้บนเว็บกันอย่างถ้วนหน้า ดูแล้วก็รู้สึกดีครับ พัฒนาไปเร็วและต่อเนื่องมากเลย

ช่วงนึงเค้าพูดกันถึง ทางตันของ web2.0 เลยมีโอกาสได้อ่านบทความจากหลายๆแหล่งเรื่อง web 3.0 กัน ซึ่งดูไปดูมาก็รู้สึกจะพูดกันเยอะขึ้น โดยสรุปใจความก็คือ web2.0 กะ web3.0 หรือวันข้างหน้า web4.0 ... 10.0 กันไป ก็เชื่อว่าเทคโนโลยีเว็บจะก้าวต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งก็แน่นอนล่ะครับ web3.0 ก็ถือการต่อยอด เพิ่มเติม ปรับปรุง พัฒนา ส่วนต่างๆจาก web 2.0 ซึ่งตอนนี้นับว่ามีข้อมูลและรูปแบบที่หลากหลายและใหญ่+เติบโตขึ้นทุกวัน รวมไปถึงเทคโนโลยีต่างๆ ที่พัฒนาให้ผู้ใช้เว็บสามารถจัดการบริหารข้อมูลและรูปแบบต่างๆได้อย่างเต็มที่

โดยส่วนตัวแล้ว ผมยังเชื่อว่า ถึงแม้การพัฒนาเว็บและก้าวเข้าสู่โลกยุดที่ใหม่กว่าเดิม อย่างเช่นกำลังว่ากันด้วยเว็บ 3.0 นี้อยู่ แต่สุดท้าย ทุกสิ่งทุกอย่างคงไม่ขึ้นอยู่กับผู้พัฒนาอย่างเดียว ผู้ใช้ และปัจจัยภายนอกอื่นๆก็ล้วนส่งผลต่อการใช้เว็บยุคใหม่ทั้งสิ้น ซึ่งข้อนี้ผมจะมาเขียนแบบละเอียดเมื่อสมองไหลลื่นและอ่านข้อมูลมาแบบจริงๆจังก่อนครับ

สู้เค้า web developer

Review หัวข้อ (ของตัวเอง) เอาไปพูดในงาน Bangkok Barcamp #3

ถ้ามีโอกาสงาน BarCamp Bangkok #3 ผมเองก็อยากจะหาแรงไปฟิตความรู้และพบปะผู้คนด้าน IT เจ๋งๆของประเทศนะครับ และจะพยายามหาแรงไปงานนี้ให้ได้ด้วย สาธุๆ

หัวข้อที่ถ้ามีโอกาสอย่างนั้น ผมจะพูดเรื่อง "When we walked through old WWW, but We still not arrive new WWW yet!" ไม่รู้เรียบเรียงถูกไวยกรณ์มั้ยนะครับ แต่แปลเป็นไทยง่ายๆ คือ ทำไมเรายังไปไม่ถึงไหนเหมือนเมืองนอกเค้าซะทีในด้านการพัฒนาเว็บไซต์ให้คนในประเทศตัวเองใช้ครับ

ว่ากันด้วย การสิ่งที่มองและมองข้ามไป ของการพัฒนาเว็บฯให้คนใช้ครับ โดยส่วนตัว ได้หาข้อมูลและสอบถามความคิดเห็นมาเยอะพอสมควรเกี่ยวกับเรื่องนี้ พบว่าปัญหาอยู่ที่ผู้ใช้มากกว้ผู้พัฒนา และไม่ต้องพูดถึงเมื่อเปรียบเทียบศักยภาพด้าน web apps กับเมืองนอก ผมจึงอยากจะไปช่วยกันคุยและพูดถึงเรื่องนี้แบบจริงๆจังอีกซักครั้ง หลังจากที่เคยพูดไปที่งาน Thinkcamp แบบคร่าวๆแล้ว

หวังว่ากระทู้นี้ ผมจะมีแรงและสังขารไปพูดและได้ฟังอะไรๆที่ดีๆ ฮาๆ จากชาว IT ทั้งหลายทั้งปวงในงานนะครับ

วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2552

นี่แหละของเค้าดีจริง

ISP รายใหญ่สุดสองรายในสวีเดนตัดสินใจปกป้องลูกค้าโดยการเลิกเก็บ Log

หลังจากที่ประเทศสวีเดนได้ทำการผ่านกฎหมายว่าด้วยอำนาจศาล ศาลสามารถสั่งให้ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) ให้ข้อมูลที่บริษัทได้เก็บไว้เกี่ยวกับลูกค้า (User Log) กับรัฐได้ เพื่อที่จะลดการละเมิดลิขสิทธิออนไลน์ภายในประเทศ หลังจากการตัดสินคดีของ The Pirate Bay และการอนุมัติผ่านกฎหมายนี้ในสวีเดน ทำให้ปริมาณการใช้แบนด์วิธในประเทศสวีเดนนั้นตกลงถึง 50%

กฎหมายนี้ส่งผลให้สอง ISP รายใหญ่ที่สุดในประเทศตัดสินใจที่จะปกป้องสิทธิของลูกค้าของตนเอง โดยการไม่เก็บ Log ลูกค้าอีกต่อไป หากศาลสั่งให้ส่งข้อมูลลูกค้า จะไม่สามารถให้ข้อมูลกับศาลได้ เพราะว่าไม่มีข้อมูลจะให้ แม้ว่าการตัดสินใจของสอง ISP นี้เห็นได้ชัดว่าขัดกับกฎหมายใหม่นี้ก็ตาม แต่ ณ เวลานี้ถือว่ามาตราการของ ISP เหล่านี้ยังไม่ผิดกฎหมายแต่อย่างใด

ที่มา - Tom's Guide

Credit : Blognone

HOW TO HACK WEBSITES ADMIN PANEL

เข้าใจว่าเป็น APS สมัยก่อนนี้นะครับ ทำ SQL Injection ซะ คลิกเดียวเป็น admin เลยทีเดียว

Ajax ภาค เกือบสมบูรณ์

Ajax ไม่ใช่ชื่อของการเขียนโปรแกรมหรือเป็นชื่อของภาษาที่ใช้ในการโปรแกรม แต่เป็นชุดของเทคโนโลยีต่างๆ Ajax ย่อมาจาก Asynchronous JavaScript And XML ซึ่งหมายถึงการทำงานร่วมกันของ JavaScript และ XML แบบ Asynchronous มีหลักการทํางาน 2 ประเด็น คือ การ update หน้าจอแบบบางส่วน และการติดต่อสื่อสารกับ Server โดยใช้หลักการ Asynchronous ทําให้ผู้ใช้ไม่ต้องหยุดการทํางาน เพื่อรอการประมวลผลจาก Server รวมถึงการโหลดและการรีเฟรชหน้าจอ ของบราวเซอร์ทางฝั่ง Client มีการใช้ Ajax โดยการเพิ่มเลเยอร์ระหว่าง user browser กับ server ทําให้ผู้ใช้สามารถทํางานได้โดยไม่ต้องรอให้ Client ติดต่อไปยัง Server รวมถึงการโหลดและการรีเฟรชหน้าจอทั้งหมดด้วย ดังนั้นผู้ใช้สามารถใช้งาน application ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

AJAX จึงไม่ใช่เทคโนโลยีในตัวของมันเอง แต่ว่าเป็นการนำเทคโนโลยีหลายๆ ตัวมารวมกันเช่น JavaScript, DHTML, XML, Css, Dom และ XMLHTTPRequest

Ajax engine ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่าง client และ server ฉะนั้นเมื่อ client มี requestแทนที่จะส่ง HTTP request ไปยัง server โดยตรง client จะส่ง JavaScript? call ไปยัง Ajax engine เพื่อโหลดข้อมูลที่ user ต้องการ และหาก Ajax engine ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมในการตอบสนองต่อ user Ajax engine จะส่ง request ไปยัง server โดยใช้ XML

เปรียบเทียบการทำงานแบบเดิม กับ Ajax
โครงสร้างของ Ajax

จากรูป Ajax engine นี้ อยู่ระหว่าง User Interface กับ server ซึ่งจะมองว่าเป็นการทำงานที่ Client การทำงานต่างๆของผู้ใช้ โปรแกรมจะไปเรียก Ajax engine ตัวนี้ขึ้นมา แทนที่การร้องขอหน้าเว็บจาก server โดยตรง และจะใช้โครงสร้างข้อมูลแบบ XML ในการขนย้ายข้อมูลระหว่าง server กับ Ajax engine เมื่อบราวเซอร์ทำการร้องขอข้อมูลจาก server
นอกจากนี้ Ajax engine ไม่ต้องทำการติดตั้ง ไม่ใช้ plug-in และไม่สามารถ download ได้ เพราะ Ajax เป็นแนวคิดในการแก้ปัญหาการหยุดชะงักการทำงานของผู้ใช้

การทำงานของ Ajax

AJAX จะช่วยลดการติดต่อระหว่าง Client กับ Server โดยในการโหลดหน้าเว็บนั่น บราวเซอร์จะโหลดข้อมูลจาก AJAX engine แทนการร้องขอข้อมูลจาก server โดยตรง ดังนั้น Ajax จะทำหน้าที่ทั้งการ render ส่วนติดต่อกับผู้ใช้และติดต่อไปยัง server แล้ว AJAX engine อนุญาติให้การกระทำต่างๆ ใน web application เป็นแบบ Asynchronous คือความเป็นอิสระในการติดต่อไปยัง server นั่นเอง ดังนั้นผู้ใช้จะไม่พบกับบราวเซอร์หน้าขาวๆ อีกต่อไป และไม่ต้องรอการโหลดข้อมูลต่างๆ จาก server

รูปการทำงานแบบ Asynchronous และการ update หน้าเว็บแบบบางส่วน ที่ทำให้การทำงานของผู้ใช้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ข้อดีของ Ajax

  1. ตอบสนองต่อผู้ใช้ได้อย่างรวดเร็วเนื่องจากการ update แบบบางส่วน
  2. ผู้ใช้ไม่ต้องหยุดรอคอยการประมวลของ server เนื่องจากการติดต่อแบบ Asynchronous
  3. รองรับกับบราวเซอร์หลักๆที่สามารถใช้ JavaScript? ได้
  4. ทำให้การประมวลผลที่ Server มีความรวดเร็วขึ้นเนื่องจากการประมวลผลที่ Server ลดลง
  5. ไม่ต้องทำการติดตั้ง หรือใช้ Plugs-in
  6. ไม่ยึดติดกับ Platform หรือภาษาที่ใช้ในการเขียนโปรแกรม
  7. เป็นเ ทคโนโลยีใหม่ที่ไม่ได้เป็นของนักพัฒนาเว็บแอพลิเคชั่นคนใด นั่นคือทุกคนมีสิทธิ์เข้ามาพัฒนาแอพลิเคชั่นตัวนี้

อ้างอิงจาก : http://wiki.nectec.or.th/giti/Knowledge/Ajax

ความแตกต่างระหว่างหลักสูตร CE, IT, CS (วิศวะคอมฯ, เทคโนโลยีสารสนเทศ, วิทยาการคอมฯ)

รูปภาพเป็นกราฟที่ดูแล้วก็คงเข้าใจกันเป็นอย่างดีนะครับ มันสามารถบ่งบอกและแสดงให้เราเห็นถึงความแตกต่างของการเรียนคอมพิวเตอร์ใน 3 สาขาหลักๆ หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยนะครับ

CE - Computer Engineering
CS - Computer Science
IT - Information Technology

ปล. ดูรูปกันชัดๆ คลิกที่รูปเลยครับ

วันอาทิตย์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2552

โปรดเข้าใจ

เมื่อวันวานที่ผ่านมา สิ่งที่ชายคนหนึ่งและหญิงคนหนึ่ง เฝ้าคอยตอบและถามคำถามเหล่านี้

ญ. :: คุณเคยคิดถึงฉันบ้างไหม?
ช. :: ไม่เคย
ญ. :: คุณชอบฉัน ไหม?
ช. :: ไม่
ญ. :: คุณอยากได้ฉันไหม?
ช. :: ไม่
ญ. :: คุณจะ ร้องไห้ไหม ถ้าฉันจากไป?
ช.. :: ไม่
ญ. :: คุณจะอยู่เพื่อฉันไหม?
ช. :: ไม่
ญ. :: คุณจะทำอะไรสักให้ฉันได้ไหม?
ช. :: ไม่ ได้
ญ. :: คุณจะเลือกอะไร ระหว่าง 'ชีวิตคุณ กับ ชีวิตฉัน?
ช. :: ชีวิต ฉัน

.......

หญิงสาวรู้สึกเสียใจมาก เธอหันหลังและเกิดความรู้สึกไม่ดี หนีจากชายหนุ่มที่ ขึ้นชื่อว่าเป็นแฟนเธอ แต่เขาก็พยายามจะวิ่งตามเธอไป เพื่อ บอกเธอว่า......

  • เหตุผลที่ฉันไม่เคยคิดถึงเธอ เพราะ ว่าเธออยู่ในความคิดฉันเสมอ
  • เหตุผลที่ฉันไม่ชอบเธอ เพราะ ฉันรักเธอ
  • เหตุผลที่ฉันไม่อยากได้เธอ เพราะ ฉันต้องการ และจำเป็นต้องมีเธอ
  • เหตูผลที่ฉันไม่ร้องไห้ถ้าเธอจากไป เพราะ ฉันคงจะตายทั้งเป็น ถ้าไม่มีเธอ
  • เหตุผลที่ฉันไม่อยู่เพื่อเธอ เพราะ ฉันจะตายเพื่อเธอ
  • เหตุผลที่ฉันทำอะไรให้เธอสักอย่างไม่ได้ เพราะ ฉันยินดีและเต็มใจทำให้เธอทุกอย่าง
  • และเหตุผลที่ฉันเลือกชีวิตฉัน เพราะ ชีวิตของฉันก็คือ เธอ สุดที่รักของฉัน
นี่คงเป็นคำแก้ตัวขอผู้ชายคนหนึ่ง ที่ทำเพื่อเธอคนนั้นตลอดมา และจะทำตลอดไป

วันอังคารที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2552

วิดีโอ ที่ไปพูดในงาน ThinkCamp เรื่อง สะกิดคนทำเว็บไทย



ตามไปดูพี่ๆ เพื่อนๆ คนอื่นๆเค้าพูดบ้างนะครับ ไปเลยที่ ThinkCamp Video

วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2552

คุณเคยใช้ Google Map แล้วน้ำตาไหลมั้ย

ผมเข้าไปทำ map บ้านนอกคอกนาเป็น my map ใน maps.google.co.th มา แล้วไปเจอเมนูด้านซ้าย (ผมว่าทำตัวใหญ่ๆ เท่าบ้านเลยครับ จะได้ให้คนไทยรู้ มันเป็นความรู้ที่โลกใบนี้ควรรู้เลยนะ ผมว่า)

เมนูที่ว่า มันคือเมนูใน google maps ประเทศไทยเรานี่แหละครับ เมนูนั้นชื่อว่า โครงการในพระราชดำริ ซึ่งผมเชื่อว่าคนไทยที่ฟังภาษาไทยร้เรื่องรู้จักคำนี้ดีกันทั่วหน้า

พอผม คลิก เมนู โครงการพระราชดำริเท่านั้นแหละครับ น้ำตาแทบร่วงเอาซะตรงนั้นเลย เพราะ map ที่ปรากฏขึ้นบนจอ คิดถึงตอนไหนผมก็ขนลุก

เห็นบ้านหลังเขียวๆ ซึ่งมันมีอยู่ทั้งแผนที่ประเทศไทย ขวานทองของเราเลยนะครับ แล้วไม่ใช่มีแค่ที่ละหลังนะครับ มันเบียดมันแย่งพื้นที่มาโชว์หลังคาบ้านให้เราคลิกเต็มไปหมดเลย

ผมไม่รู้ว่าสมัยนี้เค้าคิดอะไรกันยังไงนะครับ แต่สำหรับตัวผมเอง เด็กต่างจังหวัดที่เคยเห็นความลำบาก ยากจน ของคนบ้านนอก โครงการตามพระราชดำริของในหลวง ช่วยสร้างชีวิตและคุณภาพความเป็นอยู่ในคนในพื้นที่ตรงนั้นจริงๆ แล้วโครงการแต่ละโครงการมันยั่งยืนและขยายผลต่อไปมาจนถึงวันนี้แทบทั้งนั้น ยังไม่มีรัฐบาลหรือประเทศไหนในโลกที่ทำได้อย่างนี้จริงๆนะครับ

พระองค์ท่านเสด็จไปทุกๆที่ในประเทศ ตั้งแต่สมัยที่บางที่คนธรรมดายังไปไม่ถึงด้วยซ้ำ โครงการทั้งหมด ซึ่งผลเองคิดว่าจะนั่งอ่านไปเรื่อยๆจนกว่าจะครบ 3000 กว่าโครงการที่ในหลวงทำไว้ให้แผ่นดินไทยเรา

และ google maps ทำให้ผลได้รู้ซึ่งว่า โฆษณาในโรงหนังก่อนเพลงสรรเสริญพระบารมี ชุดนึงบอกว่า ประเทศไทยและแผ่นดินไทย คือ บ้านของในหลวง

DEV ตอน The Web Development Process ภาค 1

วันนี้มาว่าด้วยเรื่องการพัฒนาและสร้างระบบเว็บไซต์กัน เจาะไปในเรื่อง project management แล้วก็ project development เกี่ยวโยงกันไปได้หลายส่วนเลยครับ

แนะนำตัวละครกันซักนิดนึง

เรามีตัวละครกัน 3 ตัวพอนะครับ เว็บโปรแกรมเมอร์ เว็บดีไซเนอร์ แล้วก็ลูกค้า

มาเริ่มกันเลย ถ้าคุณอยากจะทำเว็บซักเว็บนึงให้ลูกค้า ผมคิดว่า process เหล่านี้คงเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ

ขั้นแรก คือ Discussion หรือ การทำความเข้าใจความต้องการและข้อมูลพื้นฐานจากลูกค้าหรือจากบุคคลที่ต้องการเว็บไซต์ (บางทีก็เป็นตัวเราเอง ฮาๆ) ขั้นนี้สำคัญมากมายเลยครับ ยิ่งได้ข้อมูลเยอะ ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเว็บฯให้ตรงตามความต้องการ

ขั้นที่ 2 (หลังจากสติแตกกับการคิดความต้องกสารและเป้าหมายจากขั้นแรก ฮาๆๆๆ) เป็นการ brainstorming โดยจะเน้นไปที่ผุ้วิเคราะห์และออกแบบระบบ เพื่อประเมินและวิเคราะห์โครงสร้าง รูปแบบ ฯลฯ ของระบบโดยรวม ซึ่งถ้าใช้หลักการ System analysis เยอะๆ เข้ามาจับในส่วนนี้ คงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรมากมายครับ

ขั้นที่ 3 สำคัญมากเวอร์เลยฮะ

ขั้นนี้ designer, system analyst, programmer จะได้มาระดมพลังความคิด เพื่อวิเคราะห์และรับฟังข้อมูลของระบบ รวมถึงการระบุถึงส่วนต่างๆของเว็บฯ ที่จะต้องพัฒนา และรวมไปถึงทำความเข้าใจโครงสร้างของเว็บที่มาจากการออกแบบแล้วด้วย

ขั้นที่ 4 ว่าด้วย Planning the Content
เนื้อหาสาระของเว็บฯ ข้อมูลที่จะต้งใช้ รูปแบบการแสดงผลข้อมูล เนื้อหาต่างๆ สิ่งเหล่านี้ควรได้รับการวางแผนและจัดรูปแบบองค์ประกอบต่างๆไว้ก่อนการพัฒนา เพื่อให้เรานำเสนอเนื้อหาของเว็บได้ตามความต้องการจริงๆ

ขั้นที่ 5 เริ่มต้นการออกแบบเว็บไซต์จริง

ขั้นที่ 6 รับ Feed Back จากรูปแบบของการ design ขั้นที่ 7 แก้ไขรูปแบบจาก feedback


เดี๋ยวภาคสอง (จบ) จะมาเร็ววันครับบบบบบบบ

วันศุกร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2552

Mozilla: สู่อนาคตที่ไม่มีกูเกิล

Mitchell Baker ประธานของ Mozilla ให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร BusinessWeek ถึงความสัมพันธ์ระหว่าง Mozilla กับกูเกิล ที่ต้องแปรเปลี่ยนไปหลังการมาของ Chrome

กูเกิลนั้นจ่ายเงินให้ Mozilla ถึง 75 ล้านดอลลาร์ในปี 2007 คิดเป็น 88% ของรายได้ทั้งหมดที่ Mozilla ได้รับ หลังที่ Chrome เปิดตัว Mitchell Baker ยอมรับว่าต้องมองหาแหล่งรายได้อื่นเผื่อเอาไว้ ถึงแม้ว่ากูเกิลจะยังไม่มีท่าทีที่จะไม่ต่อสัญญาในรอบหน้าก็ตาม ทางเลือกที่เป็นไปได้สูงมี 2 ทาง อย่างแรกคือ Fennec เบราว์เซอร์สำหรับมือถือ (ซึ่งจะมีโมเดลธุรกิจลักษณะใกล้เคียงกับ Opera) ส่วนอย่างที่สอง Mozilla อาจหาเงินจากการโฆษณา Add-ons จากภายในเบราว์เซอร์ (หน้า Get Add-ons นั่นล่ะครับ)

ส่วนคำถามว่าถ้ากูเกิลไม่ต่อสัญญา Mozilla จะเอา Yahoo! หรือ Live Search มาแทนหรือไม่ Baker ตอบว่ามีผู้เล่นบางรายที่ยินดีจะจ่ายมากกว่ากูเกิล ทาง Mozilla นั้นเคยได้เช็คเปล่าให้มาเขียนตัวเลขเองจากผู้เล่นรายหนึ่ง ซึ่ง Baker บอกว่าไม่ใช่ไมโครซอฟท์

นักวิเคราะห์มองว่า Mozilla นั้นต้องการกูเกิล มากกว่าที่กูเกิลต้องการ Mozilla มาก ส่วนโฆษกของกูเกิลบอกว่าเราจะยังสนับสนุน Firefox ต่อไป

Credit : Blognone

ที่มา - BusinessWeek

วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2552

Always Somewhere

ไม่มีไรมากครับ แค่อยากให้ดูคนที่เล่นเชลโล (ผมเรียกไวโอลินยักษ์ ฮาๆ) สวยแบบตรงสเป็กเลยฮะ

นิยามความรัก จาก ศาลฏีกา

จำกันได้มั๊ยกับนายเสริม สาครราษฎร์ที่เป็นหมอฆ่าแฟนตาย
ในคดีที่นายเสริมถูกตัดสิน นายเสริมขอลดโทษโดยอ้างเหตุว่า
ตนฆ่าแฟนเพราะความรักที่ตนมี จนไม่อาจหักห้ามใจให้แฟนไปมีคนใหม่ได้ จึงขอความปราณีจากศาลให้เห็นแก่ความรักของตน


ศาลฎีกาได้ให้เหตุผลไว้อย่างงดงามถึงความรักที่นายเสริมอ้างว่ามีต่อแฟนของตน

ดังฏีกาข้างล่างนี้

ฎีกาตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย
คดีแดงที่ 6083/2546
พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด โจทก์
นางสุดา ปรัชญาภัทร โจทก์ร่วม
นายเสริม สาครราษฎร์ จำเลย

ที่ โจทก์ร่วมฎีกาว่า จำเลยควรได้รับโทษประหารชีวิต ศาลล่างทั้งสองไม่ควรลดโทษให้จำเลยเพราะคดีไม่มีเหตุบรรเทาโทษนั้น ล้วนเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น
จึงต้องห้ามมิให้โจทก์ร่วมฎีกาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว

ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยถูกผู้ตายข่มเหงจิตใจอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม
เพราะจำเลยกับผู้ตายมีความสัมพันธ์ฉันคนรัก
แต่ผู้ตายต้องการเลิกความสัมพันธ์กับจำเลยไปมีรักกับผู้ชายคนใหม่
จำเลยจึงบันดาลโทสะฆ่าผู้ตายนั้น

เห็นว่า
ความรักเป็นสิ่งที่เกิดจากใจไม่อาจบังคับกันได้ ความรักที่แท้จริงคือความปรารถนาดีต่อคนที่ตนรักความยินดีที่คนที่ตนรักมีความสุข
การให้อภัยเมื่อคนที่ตนรักทำผิดและการเสียสละความสุขของตนเพื่อความสุขของคนที่ตนรัก จำเลยปรารถนาจะยึดครองผู้ตายเพื่อความสุขของจำเลยเอง
เมื่อไม่สมหวังจำเลยก็ฆ่าผู้ตาย เป็นความคิดและการกระทำที่เห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ของจำเลยโดยฝ่ายเดียว มิได้คำนึงถึงจิตใจและความรู้สึกของผู้ตาย หาใช่ความรักไม่ ทั้งเป็นความเห็นผิดที่เป็นอันตรายต่อสังคมอย่างยิ่ง

ดังนี้
แม้จะฟังข้อเท็จจริงตามที่จำเลยฎีกาก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยถูกผู้ตายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม
กรณีไม่มีเหตุจะลงโทษจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้

ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ ศาลจึงพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยตลอดชีวิต

วันอังคารที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2552

DEV ตอน Web Service เกิ่นๆไว้



ทุกวันนี้ถ้าจะให้พูดถึงเทคโนโลยีเว็บแอฟพลิเคชั่นสมัยใหม่แล้ว คงยังไม่พอเท่าไหร่นะครับ เพราะช่วงปีสองปีที่ผ่านมาเท่าที่ผมรู้ นักพัฒนาในต่างประเทศให้มุ่งเน้นและให้ความสำคัญไปกับเทคโนโลยี web service หรือ WS กันมากขึ้น แล้วเจ้า WS นี้มันคืออะไรกันแน่นะ

Web Service อ้างอิงจาก wikipedia Thai

เว็บเซอร์วิส (Web service) คือระบบซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมา เพื่อสนับสนุนการแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ผ่านระบบเครือข่าย โดยที่ภาษาที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ คือเอกซ์เอ็มแอล เว็บเซอร์วิสมีอินเทอร์เฟส ที่ใช้อธิบายรูปแบบข้อมูลที่เครื่องคอมพิวเตอร์ประมวลผลได้ เช่น WSDL ระบบคอมพิวเตอร์ใช้งานสื่อสารโต้ตอบกับเว็บเซอร์วิสตามรูปแบบที่ได้กำหนดไว้แล้ว โดยการส่งสาสน์ตามอินเตอร์เฟสของเว็บเซอร์วิสนั้น โดยที่สาสน์ดังกล่าวอาจแนบไว้ในซอง SOAP หรือส่งตามอินเตอร์เฟสในแนวทางของ REST สาสน์เหล่านี้ปกติแล้วถูกส่งโดยอาศัย HTTP และใช้ XML ร่วมกับมาตรฐานเกี่ยวกับเว็บอื่นๆ โปรแกรมประยุกต์ที่เขียนโดยภาษาต่างๆ และทำงานบนแพลตฟอร์มต่างๆกันสามารถใช้เว็บเซอร์วิสเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลผ่านทางเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เช่น อินเทอร์เน็ต ในลักษณะเดียวกับการสื่อสารระหว่างโปรเซส (Inter-process communication) บนเครื่องเดียวกัน ความสามารถในการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างระบบที่ต่างกันนี้ (เช่น การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่าง โปรแกรมที่เขียนโดยภาษาจาวา และโปรแกรมที่เขียนโดยภาษาไพทอน หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างโปรแกรมประยุกต์ที่ทำงานบนไมโครซอฟท์วินโดวส์และโปรแกรมประยุกต์ที่ทำงานบนลินุกซ์) เกิดขึ้นได้เนื่องจากการใช้มาตรฐานเปิด โดย OASIS และ W3C เป็นคณะกรรมการหลักในการรับผิดชอบมาตรฐานและสถาปัตยกรรมของเว็บเซอร์วิส

ในมุมมองนักพัฒนาผมว่าเป็นที่ควรเรียนรู้ เพราะเราอยู่ในฐานะผู้พัฒนาสิ่งต่างๆ เราเองก็ควรจะพัฒนาความรู้รอบด้านของเราไปด้วยนะครับ
ผมคิดว่า ส่วนของผู้พัฒนาถ้าเราใช้ web service มันช่วยในการทำงานและระบบงานให้ทันสมัยและง่ายขึ้นอีกด้วยครับ เพราะระบบ WS จะตัดการทำงานที่ซ้ำซ้อนออกไป ลองมองภาพง่ายๆ อย่างนี้นะครับ ยกตัวอย่าง บริษัท ABC จำกัด มีโปรแกรมเมอร์ภายในบริษัทอยู่ 3 คน คนแรกถนัด ASP คนที่สองถนัด PHP และคนที่สามถนัด JAVA แต่งานที่จะทำเป็นชนิดเดียวกัน ครั้นจะใช้ภาษาเพียงตัวใดตัวหนึ่ง นที่ไม่ถนัดต้องมานั่งศึกษาและเสียเวลาเรียนรู้อีกพอสมควร สิ่งที่จะช่วยได้และทางออกที่ดีก็คือ WS นี่แหละครับโปรแกรมเมอร์ทั้งสามคนนี้จะต้องศึกษาภาษา XML(เป็นภาษาในการนิยามโครงสร้าง)นิดหน่อย ง่ายกว่าภาษาที่ตัวเองถนัดอยู่เยาะ หลังจากนั้นก็มีการสร้าง core ตรงกลางด้วย Web Service tools เป็นตัวบริการ (หลังการสร้างจะได้เป็นไฟล์นามสกุล .wsdl)

ไว้ติดตามภาค 2 กันนะครับ

YOU AND I

วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2552

Web Design Trends For 2009

ไปอ่านมาจากเว็บภาษาอังกฤษ คิดว่าเป็นเทรนทีเราเห็นกันบ่อยๆ ในยุคสมัยนี้แหละครับ เค้าบอกว่าจะมีการสังเกตุและมุ่งประเด็นไปที่เทรนในช่วงปลายปี 2008 - ต้นปีนี้แหละครับ พบว่ามีรูปแบบที่หลากหลายและสวยงามมากขึ้น

1. Embossing Letterpress


2. Rich user interfaces
3. PNG transparency
4. Big typography
5. Font replacement (sIFR, etc.)
6. Modal boxes
7. Media blocks
8. The magazine look
9. Carousels (slideshows)10. Introduction blocks

วันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2552

อาม่า ทดสอบ ThinkPad

ฮาดีเวอร์ ฮาๆ โชว์ถึก

ทำไมใส่แรม (RAM) เพิ่ม แล้วทำงานเครื่องคอมเร็วขึ้น

มาว่ากันด้วยเรื่อง Hardware กะ การทำงานกันซักเล็กน้อย คือ ผมได้ยินน้องๆกับหลานๆถามมา ว่าถ้าจะทำให้ใช้โปรแกรมแต่งภาพคล่องๆ เล่นเกมส์ไม่กระตุก แล้วอยากให้เครื่องทำงานเร็วขึ้นต้องเพิ่มแรมใช้มั้ย

ผมก็ตอบไปว่าการใส่แรมเพิ่มก็ช่วยได้ครับ แต่ก็ช่วยได้แต่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับ components อื่นๆของเครื่องด้วย แต่ตามหลักแล้ว ที่ผมเข้าใจเป็นไปตามนี้ครับ

ปกติแล้ว เครื่องคอมพิวเตอร์ของเราๆท่านๆ จะมีหน่วยความจำหลัก หรือ แรม RAM ซึ่งมันจะทำหน้าที่เก็บสิง่ที่ CPU ต้องประมวลผลในตอนที่เราต้องการทำงานกับโปรแกรม หรือ เล่นเกมส์ พวกข้อมูลเหล่านั้นจะถูกดึงมาเก็บไว้ในแรมนั่นแหละครับ ปัญหาคือว่า ถ้าเครื่องเรามีแรมน้อยๆ หมายถึงว่า แรมเรารับข้อมูลมาเก็บเพื่อให้ CPU เอาไปประมวลผลอีกที เกิดโปรแกรมหรือเกมส์ต้องจองและใช้พื้นที่เก็บข้อมูลในแรมมากกว่า จนแรมรับมีไม่พอ เกิดเลยกลไกหนึ่งขึ้นมา เรียกว่า Virtual Memory ซึ่งพูดง่ายๆ มันคือการ ทำพื้นที่ในฮาร์ดดิสของเราให้เป็นเสมือนแรม นั่นคือ ถ้าพื้นที่ในแรมมันเก็บข้อมูลไม่พอ ก็จะสร้างรูปแบบหน่วยความจำเสมือนขึ้นในฮาร์ดดิสแทน ทำให้เหมือนว่าเรามีแรมเพิ่มขึ้นจากการใช้พื้นที่ของฮาร์ดดิสนั่นเองครับ


คราวนี้เข้าเรื่องครับ ด้วยการที่มันทำ Virtual mem ขึ้นมาช่วยในการเก็บข้อมูลที่จะนำไปประมวลผล แรมจะเปลี่ยนหน้าที่จากการเก็บข้อมูลจริง ไปเป็นเก็บตัวชี้ข้อมูลจริงๆที่อยู่ใน Virtual mem แทน เรียกว่ากลไกการสร้าง Page table


คราวนี้แหละครับปัญหา นั่นคือ ความเร็วของ CPU กับความเร็วของแรมมันเร็วกว่าฮาร์ดดิสมาก (ความเร็วในการส่งผ่านข้อมูล) สิ่งที่เกิดขึ้นคือ CPU ต้องเสียเวลารอแรมวิ่งไปชี้ข้อมูลในฮาร์ดดิส และ ต้องรอข้อมูลจากฮาร์ดดิสที่ช้ากว่าความเร็วที่ CPU ทำงานเยอะมาก เครื่องเลยทำงานและประมวลผลได้ช้าลงตามระเบียบ

การเพิ่มแรมให้เยอะขึ้นก็เลยทำให้เราไม่ต้องไปพึ่งพา Virtual mem มากๆ ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้เครื่องเราทำงานได้เร็วขึ้นได้ด้วยนะครับ

เมื่อ Mouse เจ้งกระทันหัน

ผมใช้ ThinkPad R61i ซึ่งมันไม่มี touchpad ให้ผม มันมีแค่ trackpoint จุดแดงๆให้ผมใ้ช้ ซึ่งก็ดีครับ ไม่ว่ากันในส่วนนี้ เท่ๆ

บังเอิญว่าอยู่ดีๆวันนึง trackpoint (ซึ่งมันก็คือ mouse ของ laptop ผมแหละครับ) เกิดเจ้งแบบกระทันหันซะงั้น แล้วหัวสมองกกำลังวิ่ง รุกรี้รุรนจะทำโปรเจ๊คต่ออีกนิด เลยต้องใช้วิธีเปลี่ยน keyboard ให้ทำงานเป็น mouse ซักนิดนึง

เริ่มกันเลยดีกว่าครับ

1. Control Panel > ดับเบิ้ลคลิ๊กที่ Accessibility Option
2. จะมีหน้าต่าง Accessibility Properties > เลือกแท็ป Mouse และใส่เครื่องหมายถูก หน้า Use MouseKeys
3. กดปุ่ม Setting เพื่อกำหนดค่าใน Setting for MouseKeys
4. เมื่อกำหนดค่าต่างๆเสร็จแล้ว จะมีไอคอนเล็กๆของเม้าส์ขึ้นที่ Taskbar มุมขวาด้านล่าง
5. ปุ่มที่ใช้ในการควบคุม
- เลข 4, 6, 8, 2 คือ ซ้าย, ขวา, บน, ล่าง ตามลำดับ
- เลข 7, 9, 1, 3 คือ สั่งให้เม้าส์เคลื่อนที่ในแนวเฉียง
- กด Ctrl ค้างไว้ เพื่อเพิ่มความเร็ว

แค่นี้ก็จะทำงานได้ในนามีฉุกเฉินแล้วครับ

วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2552

แบบว่าลงวินโดว์ใหม่ อีกแล้ว

ฮาๆ ขำตัวเองจะตายเอาครับ พึ่งจะลง Windows7 ได้ 2 วันกะว่าจะช่วยเค้า Test ซะหน่อย ว่า bugs มันเป็นยังไงมั่ง ก็ใช้อยู่ 2 วันเจอเยอะแยะมากมายเอาการอยู่ครับ อย่างน้อยก็ได้ช่วยส่ง feed back กลับไป Microsoft ประมาณ 10 กว่าตัวได้เลยล่ะครับ

ใช้ Vista จนเรียกว่าจะคล่องแล้ว มาใช้ 7 ไม่มีปัญหาเท่าไหร่ครับ แต่ที่มาบ่นอยู่ในบล็อคตอนนี้ เพราะรอบนี้เปลี่ยนจาก 7 กลับมาใช้ XP หุหุ

จากการใช้งานจริง (ทำงานเยอะๆ โดยเฉพาะเปิดโปรแกรมหนักๆวัดกัน พบว่า 7 ยังเร็วและเสุียรกว่า Vista ด้วยซ้ำ ขนาดมันเพิ่งจะ Beta Testing) ก็พบว่า สุดท้ายการทำงานอย่างที่ผมทำ ใช้ XP นะจะเข้ากับงานตอนนี้มากที่สุด โดยส่วนตัวจากที่ใช้มาเห็นจะๆเลยครับเวลาเปิด Netbean ตามด้วย DB2 ตามด้วย Tomcat ไม่ยั้ง เอา photo CS4 อัดเข้าไปอีก ทำให้เครื่องของผมเต่าไปเลย โดยเฉพาะเวลาโหลด context ต่างๆ

หันกลับมาว่าด้วย XP หลังจากห่างหาย ไม่ได้ลงใหม่และไม่ได้ config นาน พอลงเสร็จปั๊บ (Windows XP SP2 licence แท้ๆ ของคณะฯแจก ฮาๆ) ซึ่งไม่มีอะไรให้เลย นั่งโหลด Driver (ผมใช้ Lenonvo ThinkPad R61i) ไปซํกพักนึง ทนไม่ไหว ไปโหลดตัว System Update จากลง driver คงจะง่ายกว่า เลยจัด SystemUpdate ไป ซักพักถึงเจอปรากฏการณ์เครื่องรวนแปลก หน้าจอกระพิบป๊าบๆๆๆ Bios ร้องด้วย เฉยเลย งงค่ดๆ นั่งเล่นกีต้าร์อยู่ไกลๆ รีบเดินกลับมาดูเจอภาพประมาณนี้ฮะ

สุดท้ายถึงได้รู้ว่า อ๋อ... ด้วยการที่มันไม่มีอะไรให้ พออัพเดทไปซักพักดันไปเจอ Device คราวเดียวซะเยอะ แล้วระหว่างที่เจอก็กำลัง install driver บางตัวพอดี เลยได้ยินและได้เห็นภาพอะไรประมาณนั้น ส่วนภาพที่เอาลงนี้ สังเกตที่ system tray ผมตีกรอบแดงเล็กๆไว้ครับ มันขึ้น found devices อื้อซ่ามหาศาลเลย งงๆ ฮาๆๆ

ตามกระแส ตอน แง่ลบจาก ปสก ตรงๆ

ไปอ่านเจอบทความใน เด็กดี มาครับ เห็นว่าดี แล้วอีกอย่างเพื่อนผมเองก็โดนอะไรแบบนี้มาจนชินแล้วก็เกือบตายมาละครั้งนึง เพราะสิ่งต่างๆต่อไปนี้

ผมไม่ได้หัวรุนแรงหรือต่อต้านอะไรนะครับ เรื่องเกาหลี ผมชอบ อยากไป และก็เห็นสิ่งที่ดีๆของเค้ามาเยอะ คราวนี้มาดูมุมที่ต้องเตรียมตัวและเตรียมใจถ้าไปจะอยู่ (นานๆ) นะครับ

ว่าด้วย...

คนเกาหลีใต้ นิสัยดุดัน ไม่ค่อยมีมารยาท หัวรุนแรง

พลเมืองที่มีภูมิหลังอยู่ในประเทศอย่างเกาหลีนี่จะมีวัฒนธรรมแข็ง หรือ hard culture ความต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดได้ เพื่อให้มีกินมีใช้ ทำให้คนพวกนี้มีนิสัยดุดัน ต้องการอะไรต้องเอาให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีธรรมดาหรือด้วยวิธีรุนแรง คนเกาหลีที่ไปเที่ยวหรือไปทำมาหากินในประเทศไหนๆ ก็จะโดนเจ้าของประเทศด่าว่าเป็นพวกรุนแรง ฉุนเฉียว โมโหง่าย ไม่เก็บอารมณ์ และมีปัญหากับเจ้าของประเทศอยู่บ่อยๆ

ยังจำได้ถึงสมัยที่ไปเยือนเกาหลีใต้ครั้งแรก ผมตกใจแทบแย่เมื่อเจ้าหน้าที่ที่มาต้อนรับดูแลผมโดนเจ้านายด่า ด่าต่อหน้าผมซึ่งเป็นแขกนี่แหละ ตะโกนดุดันลั่นห้อง โดนด่าขนาดนั้น แต่ลูกน้องไม่โต้ตอบกลับแม้แต่คำเดียว ต่อมาผมก็จึงถึงเข้าใจสภาพอารมณ์ของคนเกาหลีว่าเป็นพวกเจ้าอารมณ์และไม่เก็บ ความรู้สึก พร้อมที่จะตะโกนก้องร้องความในใจออกมาตรงๆ โดยไม่อาย ไม่เกรงใจใคร ไม่เคยเอาใจเขามาใส่ใจเรา ฯลฯ

นอกจากชอบดื่มเหล้ากันทั้งชายหญิงอย่างจริงจังแล้ว คนเกาหลียังชอบสูบบุหรี่ สูบกันทั้งหญิงชาย ถ้าผู้อ่านท่านสังเกตพวกที่รักษาวัฒนธรรม ขนาดใหญ่ของตัวเองไว้ได้เป็นห้วงช่วงเวลานับเป็นพันๆปีอย่างจีนและรัสเซีย ท่านจะเห็นว่าทั้งสองประเทศมีวัฒนธรรมอะไรหลายอย่างคล้ายเกาหลี คือชอบดื่ม ชอบกิน และสูบบุหรี่จัดเหมือนกัน

คนเกาหลีชอบตัดหน้า ผู้อ่านท่านที่เคยยืนคิวซื้อของในเกาหลีใต้คงจะเข้าใจในความที่ชอบตัดหน้า ของคนเกาหลีได้ดี การมีคนวิ่งเข้ามาแย่งแซงคิวเป็นเรื่องธรรมดา บางทีนี่เบียดเสียดกันจนเราแทบจะล้ม แต่ก็ไม่มีใครเอ่ยปากขอโทษ อันนี้แสดงให้เห็นถึงคนเกาหลีนั้นติดนิสัยต้องได้รับก่อน

ผู้อ่านอยากให้นิติภูมิเขียนถึงเกาหลีใต้ ถึงตอนนี้ก็เขียนอะไรไปเยอะแล้วครับ พบกันใหม่ในวันพรุ่งนี้ คืนนี้นิทราราตรีสวัสดิ์ สวัสดีครับ ลาไปก่อนครับ.

นิติภูมิ นวรัตน์

ความคิดเห็นที่ 1

แน่นอนที่สุด เคยไปเกาหลีแล้ว เข้าห้องน้ำ (อึ) แล้วห้องคงเต็ม X เกาหลีมันมาทุบประตูใหญ่ ไม่มีมารยาท ก้อบอกแล้วว่า I'm in here!! มันคงฟังอังกริดไม่รู้เรื่อง ถีบประตูเข้ามา เลวมาก เคยต้องนั่งอึต่อหน้ามัน

ความคิดเห็นที่ 3

จริงค่ะ ผู้หญิงเกาหลีดโดยเฉพาะแม่ค้าน่ากลั่วมาก ผู้ชายเกาหลีชอบใช้สายตาเหยี่ยดหยามดูถูกคนต่างชาติทั้งๆที่ไม่ได้ทำอะไรให้ มันมีแต่ในละครเท่านั้นที่คนเกาหลี show ว่าตัวเองสุภาพอ่อนโยน เรื่องจริงไม่มีหรอกจ้า ยิ่งถ้าใครเคยไปเรียนไปใช้ชีวิตที่นั้นเป็นระยะแล้วก้อจะรู้ แล้วจะไม่คิดกลับไปอีก

ความคิดเห็นที่ 7

ไม่ได้เป็นทั้งประเทศ แต่ส่วนใหญ่เป็น เราเคยไปเรียนที่นั้น 3 เดือน ไม่ไหวอ่ะ ร้องไห้ทุกวัน ทุกคนนิสัยดุมาก หาเพื่อนก็ยาก คนชอบผลักชอบแย้ง จะคุยกับเด็กนักเรียนผู้ชายก็ไม่ได้ โดนพวกเด็กผู้หญิงมองแบบดูถูก ก็ต้องคบกับพวกคน japan + hongkong+australia +america แต่ก็ดีนะพวกนั้นนิสัยดีเราเลยอยู่ได้

ความคิดเห็นที่ 46

อันนี้เพื่อนเล่าให้ฟังนะ คือเพื่อนเราไปรักษาสิวที่คลินิกอะ แล้วคนเยอะมากรอคิวนานแต่เพื่อนเราไปกัน 2 คน นั่งรอในร้านก่อนคนเกาหลีมาอีก แต่ไอเกาหลีมันขอบัตรคิวแล้วออกไปนอกร้านเดินเล่นอะ เพื่อนเราก้อรออยู่ยังไม่ได้รักษานะทั้งๆที่มาก่อนมันและมีคนรออีกมาก พอเกาหลีเดินเข้าร้านมันก้อโวยวาย ด่าพนักงานที่เคาเตอร์ แล้วก้อเอาเท้ามันเหยียบขึ้นที่นั่ง แล้ว ด่าๆๆๆๆๆ จนคนในร้านตะลึง ทั้งๆที่คนอื่นก้อรออยู่เหมือนกัน

credit: http://topicstock.pantip.com/klaibann/topicstock/2008/06/H6751368/H6751368.html

แฟนคลับเกาหลี ด่าคนไทยผ่านคอมเม้น

คือว่า ... เราไปนั่งแปล คอมเม้นจากที่คนเกาหลีคอมเม้นในไซเวิล
จากที่อ่านมา ทั้งหมด... ขอเน้นนะ ว่าทั้งหมด
ดูถูกคนไทยมากมายอ่ะ
คอนเม้นแต่ละคอมเม้นบอกว่า
ประเทศไทยมีกล้องด้วยหรอ...
เด็กที่เต้นพวกนั้นเป็นคนยากจนอย่างงั้น อย่างงี้
คนเกาหลีบางคนก็บอกว่า ชั้นจะเอาเงินให้คนพวกนั้น(คนที่เต้น) เผื่อจะทำให้อะไรมันดีขึ้น บลาๆๆๆ
บางคนก้อบอกว่า ... อย่าไปเต้นอย่างงั้น จะทำให้ดูแย่ไปกว่าเดิม

แล้วยิ่งไปกว่านั้น จขกท. โมโหมากมาย มี(อี)คนเกาหลีคนนึง มันเม้นในนั้นบอกว่า
อย่าไปสนใจพวกนั้นเลย มันบ่งบอกถึงสภาพบ้านเมือง..

ไม่เชื่อดู>>>> http://video.cyworld.com/205236384

ใครเคยเจอแบบนี้บ้าง....เกี่ยวกับมารยาทนักท่องเที่ยว(เกาหลี)
เราเป็นคนไทยที่ชอบท่องเที่ยวในเมืองไทย(เป็นส่วนใหญ่)
เคยสังเกตเห็นนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะชาวเกาหลีที่มาเที่ยวในไทย
มักจะตะโกนโหวกเหวก เวลาตักอาหารก็ตักมากมาย(แต่ทานไม่หมด)
แถมยังไม่ค่อยต่อคิวเวลาที่ตักอาหาร(ชอบแทรก) ขนาดเด็กเล็กๆเข้าแถวตักอาหาร
พวกท่านยังเบียดแย่งซะงั้น น่าเบื่อจริงๆ
เดินชนคนโน้นคนนี้ไปเรื่อย เคยเจอกับตาเลยนะ
ผู้ชายเกาหลีเดินชนผู้หญิง(ฝรั่ง)แทบกระเด็น นายยังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ขอโดทษก็ไม่มีให้เห็น
ผิดกับชาวญี่ปุ่นนะ พวกเขาสุภาพมากกว่าเป็นไหนๆ
และกลุ่มชาวฝรั่ง ส่วนใหญ่ที่พบ ค่อนข้างสุภาพ
หรือว่าพวกนักท่องเที่ยวชาวเกาหลี เขาทะนงตนว่าเป็นชาติผู้ยิ่งใหญ่
บางทีนะเวลาไปเที่ยวหรือพักที่ไหน ภาวนาอย่าให้เจอกับกรุ๊ปทัวร์เกาหลีเลย เซ็งจิต

credit:pantip

ความคิดของคนเกาหลี ต่อประเทศไทย
"ข้อวิพากษ์วิจารณ์ของเกาหลีที่มีต่อคนไทยก็คือ คนไทยเป็นคนขี้เกียจ ตัดสินใจช้า มัวแต่โอ้เอ้ ชอบความสบาย รักความสนุกสนาน ไม่มีความมุ่งมั่นทำสิ่งใดอย่างจริงจัง ไม่มีเป้าหมายในการทำงาน และเป็นสังคมที่ขาดระเบียบวินัย อีกทั้งจะยังเตือนคนเกาหลีด้วยกันเองว่า คนไทยเป็นคนไม่น่าคบ ควรจะแสวงหาประโยชน์จากคนไทยและเมืองไทยให้มากๆ"

เครดิต : M-Thai.com

และแหล่งอ้างอิงส่วนตัวของผมด้วยฮะ หุหุ

วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2552

ผมเคยสัมผัส Z/OS น๊า

ตั้งแต่เด็กซื้อหนังสือคอมมาอ่าน เจอประเภทของคอมพิวเตอร์ ซึ่งสมัยนั้น Mainframe Computer เป็นสิ่งที่ไกลและอยู่ในความฝันผมเหมือนกันว่าจะมีโอกาสได้เจอและสัมผัสมัน ซักครั้ง

พอขึ้นมหาวิทยาลัยมา ก็เกิด step แรกของความฝันผมขึ้น เพราะที่คณะฯ (คณะเทคโนโลยีสารสนเทศมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี) มีคอมพิวเตอร์ที่เรียนกว่า mainframe คอมพิวเตอร์อยู่ ซึ่งเค้าบอกว่าเป็นเครื่องแรกในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีเพื่อให้นักศึกษาได้ใช้กันเลยทีเดียวเชียวนะครับ หุหุ

ได้เจอ เครื่องครั้งแรกตอนปีหนึ่ง ตื่นตาตื่นใจกับตัวเรื่องและราคาเครื่องมากมาย ฮาๆๆๆ แล้วก็คิดในใจว่า ซักวันคงจะได้จับอยู่ในห้องที่มี mainframe และจับมันบ้าง

มาปี2 เรียน Operating System คราวนี้ อาจารย์ใจดีทำความฝัน step 2 ให้เกิดขึ้นได้แล้ว เพราะอาจารย์เอา mainframe มาสอน มีวิทยากรจาก IBM mainframe มากันเลยทีเดียว โดยส่วนตัวนับว่าเป็นโชคดีของผม อาจารย์สอน mainframe พวกเราในด้าน mainframe OS ซึ่งบอกได้เลยว่า คนละโลกกับคอมพิวเตอร์ที่เราๆท่านๆใช้กันอยู่ทุกวันนี้โดยชิ้นเชิงกันเลย ครับ

หลังจากการเรียน lab mainframe OS หรือชื่อของมันคือ Z/OS เวลารวมน่าจะประมาณ 10 ชม. ได้นะครับ ช่วงแรกๆในการเรียน มันเป็นความรู้สึกที่ยากมากๆ เคยใช้ OS พวก Windows, linux มาเท่าไหร่ เจอ Z/OS เข้าไป มันเเหมือนอีกหนึ่งโลกที่มีแต่หน้าจอสีดำ กะ ตัวหนังสือ 3 สี ฮาๆๆ โครงสร้างข้อมูล รูปแบบการทำงาน มันเข้าใจยากและลึกซึ้งมากมาย

พอ เรียนไปซักพัก ประมาณ 6 ชม. ก็เริ่มจับประเด็นและพอรู้หลักการทำงานของ data และการจัดการ data เบื้องต้นของ Z/OS จนได้ ฮาๆๆ แต่ lab มันหมดแล้ว ตอนนี้ก็คิดถึงมันอยู่นะครับ ถ้าทำงานสายนี้ คงต้องเก่งและได้เงินเยอะน่าดู หุหุ

FWD ดีๆ ภาค ความรักกับชาติปางก่อน

ไปอ่านบล็อคอีกบล็อคเจอมา อ่านแล้วขนลุกดีครับ ว่าด้วยเรื่องที่ผมเองก็เชื่อว่า มันเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับโลกนี้เลยก็ว่าได้

"มีชายหญิงคู่หนึ่งรักกันมาก คบกันมา 3 ปี ทั้ง 2 ตกลงจะแต่งงานกัน

เมื่อกำหนดวันเรียบร้อย ฝ่ายชายเองก็รอคอยวันที่จะแต่งงาน
ต่อมาไม่นานฝ่ายชายรู้ข่าวว่า คู่รักของตนแต่งงานกับคนอื่นอย่างกะทันหัน
โดยฝ่ายหญิงเองก็เต็มใจ ไม่ได้ถูกบังคับแต่อย่างใด
เมื่อได้ทราบข่าว เขาทั้ง งง และ เสียใจ มาก
ร้องไห้ไม่กินไม่นอน ไม่นานก็ป่วยหนักเพราะตรอมใจ

เวลาผ่านไป ฝ่ายชายป่วยหนักขึ้นเรื่อยๆไปหาหมอเท่าไหร่ก็ไม่ดีขึ้น
ขณะที่นอนซมอยู่ที่บ้านนั้น มีหลวงตาแก่ๆผ่านมา
เมื่อมาถึงหลวงตาหยุดอยู่ที่หน้าบ้าน แล้วมองเข้าไปในบ้านจึงเคาะประตู
เด็กรับใช้ออกมาเปิดประตูพบว่า เป็นพระ จึงบอกว่า ไม่ทำบุญนิมนต์ข้างหน้า
หลวงตายิ้มอย่างมีเมตตาแล้วพูดว่า อาตมาไม่ได้มาบิณฑบาต
ในบ้านมีคนป่วยใช่มั้ย อาตมาพอมีความรู้ทางด้านการแพทย์นิดหน่อย
ไม่รู้จะพอช่วยได้รึปล่าว เด็กรับใช้ได้ฟังก็อึ้งแต่ก็บอกว่าตัดสินใจเองไม่ได้
ต้องขอไปถามเจ้านายก่อน เด็กรับใช้เดินเข้าไปในบ้านถามเจ้านาย
เจ้านายตอบอย่างตัดรำคาญว่าอยากเข้ามา ก็เข้ามา!

เมื่อหลวงตาเข้าไปพบที่ห้องนอนพบว่า
ชายคนดังกล่าวนอนอย่างหมดอาลัยตายอยากอยู่บนเตียง
สีหน้าซีดเซียว ร่างกายซูบผอมประหนึ่งครึ่งคนครึ่งศพ
เด็กรับใช้นำน้ำมาถวายหลวงตา พร้อมจัดเก้าอี้ถวายข้างๆเตียงของชายคนนั้น
หลวงตายิ้มแล้วพูดว่าอาการหนักเลยนะ
ชายคนนั้น นิ่งเงียบไม่สนใจในสิ่งที่หลวงตาพูด
หลวงตาตรวจอาการพอเป็นพิธี จึงกล่าวว่า โทรมมากเลยนะ
ชายคนนั้นไม่สนใจ หลวงตาบอกว่าไม่เชื่อ ลองมองที่กระจกสิ
ชายคนนั้นไม่สนใจ แต่ขณะที่หางตาชายไปที่กระจกแต่งตัวในห้องนอน
เขามองเห็นภาพของคนที่รักอยู่ในนั้น ไม่นานภาพของคนรักก็ค่อยๆจางหายไป
กลายเป็นภาพทิวทัศน์ชายทะเล

ที่ชายทะเลแห่งนั้นเงียบสงบ ไม่มีคนผ่านไปมา
ขณะที่ชายคนที่ป่วยนั้น มองภาพในกระจกด้วยความสนใจนั้น
เขาพบว่า มีศพหญิงสาวนอนเปลือยกายอยู่ที่ชายหาด
เวลาผ่านไปสักครู่ มีชายคนหนึ่งเดินผ่านมา
เขามองเห็นศพหญิงคนนั้นด้วยความรังเกียจ แล้วเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ต่อมาพักใหญ่มีชายอีกคนหนึ่งเดินผ่านมา เขามองเห็นศพนั้น
เขาสงสารจึงถอดเสื้อนอกออกมาคลุมร่างของหญิงคนนั้น แล้วเดินจากไป

พักใหญ่ๆอีกเช่นกัน มีชายอีกคนเดินผ่านมา
เขาพบคนนอนมีผ้าคลุมอยู่ จึงเปิดออกดู เมื่อพบว่า เป็นศพ
ด้วยใจสงสาร จึงจะฝังให้เรียบร้อย แต่ก็ไม่มีเครื่องมือจะขุด
เขาจึงตัดสินใจใช้มือทั้ง 2 ข้างๆ ค่อยๆกอบทรายขึ้นมา
เขาทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนเย็น พอได้หลุมใหญ่พอสมควร
จึงได้ฝังศพผู้หญิงคนนั้นเรียบร้อยแล้วจากไป

จากนั้นภาพในกระจกก็เปลี่ยนเป็นภาพของศพหญิงคนนั้น
และก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นภาพของหญิงคนรัก เขาได้เห็นก็ตกใจ
พอสักพัก ก็ปรากฏเป็นภาพชายคนที่ 2
แล้วก็ค่อยๆจางหายไป เหลือแต่เงาของตัวเองในกระจก

ทันใดนั้นหลวงตาพูดว่า ทีนี้เข้าใจรึยัง ศพนั้นคือคู่รักของโยม
ชายคนที่ช่วยฝังศพเธอ ผูกวาสนากับเธอหนึ่งชาติ
ชาตินี้เธอเลยแต่งงานกับเขา
ส่วนโยมช่วยคลุมศพเธอ
จึงผูกวาสนา 3 ปี ตอนนี้ครบ 3 ปี วาสนาสิ้นแล้วก็ต้องจากกัน

เมื่อชายคนนั้นฟังจบก็กระอักเลือดออกมา เด็กรับใช้ตกใจมาก
หลวงตายิ้มแล้วบอกว่า โยมรอดแล้ว เมื่อกี้โยมกระอักเลือดเอาเลือดเสียออกมาแล้ว
ต่อมาไม่นานชายคนนั้นก็ได้ออกบวชในที่สุด

คนเราเจอกัน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ความสัมพันธ์ พ่อ , แม่ , พี่ , น้อง ,
ญาติ , เพื่อน , ศัตรู , คนรัก ฯลฯ ไม่ใช่ของเลื่อนลอย

เมื่อมีวาสนา ไม่ต้องเรียกร้อง ถึงเวลาก็มาเจอกัน
เมื่อสิ้นวาสนา ก็ต้องจากกัน รั้งยังไงก็ไม่อยู่


ในตอนที่ยังไม่จากกันนี้ คุณทำได้ทำดีต่อคนของคุณหรือยัง
เพราะ ถึงเวลาที่ต้องจากกัน ไม่ว่าคุณจะมีเงินหรืออำนาจล้นฟ้า
ก็เรียกมันกลับ คืนมาไม่ได้ ทำดีต่อกันไว้ดีกว่า
เพราะไม่มีใครรู้ว่า เราจะต้องจากกันเมื่อไหร่
"

Credit : MeawzNoy

วันอาทิตย์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2552

ของชอบเค้าละ ตอน Google Maps Thailand

เซ็งเป็ดเลยครับ โดนดัก อึตส่าห์ลงชื่อไปร่วมงาน Googl Maps Thailand วันที่ 26 กพ. ที่เพิ่งจะผ่านมา ไป ThinkCamp มาเมื่อวานก็เห็นคนที่ไปพูดกันซะเยอะแยะมากมาย สำหรับ features ใหม่ๆ เจ๋งๆ ของ Google Maps แง้ๆๆๆ เสียดายค่ดๆครับพี่น้อง

ช่างมัน วันนี้เอา Review ที่เป็นภาษาไทยมาให้ดูครับ เผื่อใครที่สนใจเข้าไปใช้กัน แล้วเห็นว่ามันดี มีประโยชน์ ก็ต้องรู้นะครับ ว่า maps เหล่านั้น เราสามารถดึงมาใช้ในเว็บของเราได้ ซึ่งในส่วนนี้ลองไปศึกษาดูได้จาก http://code.google.com/apis/maps/ นะครับ รับรองว่าถ้าคุณสนใจ คุณสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับเว็บคุณให้น่าสนใจได้แน่นอน แล้วก็เป็นประโยชน์ต่อทั้งผู้ให้และผู้รับด้วยนะครับ ^_^

ThinkCamp Continue.

จาก Review แรก



ช่วงบ่าย หลังจากกินข้าว และดูสาวๆ แล้วก็เสวนากันเสร็จแล้ว ก็เดินกลับไปฟังการบรรยายรอบบ่าย แบบว่า ขึ้นไปปั๊บไปเจอทีมงาน duocore กำลังสัมภาษณ์และบ่นกันอย่างเมามัน ฮาๆๆๆ แล้วก็เจออาจารย์ศุภเดชแห่ง beartai.com ก็มาถึงแล้วเช่นกัน

ช่วงบ่ายคิดว่าเป็นช่วงนี้เลือกฟังตามใจจริงๆครับ คราวนี้เข้าไปฟัง ช่วงแรกๆ ร้อนๆ บรรยากาศเลยเสียงบ่นดัง และคุยกันใหญ่เลยในช่วงแรก เพราะบางกลุ่มก็เริ่มมีเรื่องมาทอร์คกันแบบว่า มันปากกันเลยล่ะครับ

การบรรยายช่วงบ่าย แต่ละคนสุดยอดและสุดบอดทั้งนั้น ผมเข้าไปฟังช่วงครึ่งแรกก่อนพักเบรค มันได้ข้อคิดและแนวคิดใหม่ๆ เยอะเลย ส่วนครึ่งหลังเบรคก็ได้จอ elgg module web CMS สำหรับ social networking สำเร็จรูป ที่แนวและน่าใช้มากๆเลย

ไว้ผมจะไปดึง URL ของวิดีโอและ Slides ต่างๆ มาจาก ThinkCamp อีกทีนะครับ

วันเสาร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ของชอบเค้าล่ะ ตอน เกมส์ใหม่ ไฉไลด้วยดาวเทียม

ไปอ่าน Blognone มาเจอข่าวเกมส์ขับเครื่องบินรบใช้ฉากเป็นภาพที่ถ่ายมาจากดาวเทียม สนใจแบบใจเต้นตุ๊บตั๊บเลย ว่ามันจะเป็นยังไง ทนไม่ไหว ไปดูดข้อมูลมาซะ หุหุ

GeoEye ใช้งบไปตั้ง 100 ล้านดอลล่า เพื่อการส่งดาวเทียมเข้าไปบนอวกาศ เพื่อให้เราสามารถมองเห็นภาพของภาคพื้นดินได้สมจริง ในเกมส์ใหม่ชื่อง Tom Clancy air combat. โอ๊ะโอ นี่แปลมาแค่บรรทัดเดียว ผมก็อึ้งทึ่งเสียวไปเลย ลงทุนจริงนะเนี่ย

มาดูภาพกันซักเล็กน้อย


ภาพแบบนี้ คอเกมส์เครื่องบินใฝ่ฝันหาแน่นอนครับ จากตัวเว็บหลักบอกว่า กำหนดการที่จะคลอดเกมส์นี้ เป็นช่วงเดือนมีนาคม สำหรับทั้ง XBox 360, PS3, PC ตามระเบียบครับ

ที่มา : คลิกเลยลูกพี่

Review ThinkCamp มาแล้วครับ สดๆร้อนๆ

ตอนนี้เวลา 19.16 น. เพิ่งกลับมาจากไปร่วมงาน ThinkCamp ที่จุฬามาครับ


"THai INtegrated Knowledge camp (หรือ THINK camp)

มา Review แบบทันควันตามที่ได้เขียนบล็อคไว้ เรื่อง ก่อนไป ThinkCamp ตอนนี้ไปและกลับมาแล้ว ก็มาดูกันครับ มีอะไรให้ทำบ้าง และได้อะไรกลับมาบ้าง

นัดเจอกันที่หน้า ม. ขึ้นรถไปจุฬากันตอน 10.00 พอดีเป๊ะ คิดว่าจะ late ซะแล้ว ไปถึงตอน 10.20 คนยังน้อยอยู่เลยครับ หุหุ ไปถึงก็ลงทะเบียนรับนิตยสารกะใบประเมิน (เค้าบอกเอาไว้แลกแก้ว) แล้วก็แย่ยอย ป้ายห้อยคอก็สวยใช้ได้เลยล่ะครับ

สำหรับผมตามมาติดๆด้วยการลงชื่อสำหรับคนที่มีเรื่องจะพูดบรรยาย ซึ่งครั้งนี้ผมก็ตัดสินใจอยู่นาน แต่สุดท้ายก็ทำ slide presentation ส่งไปเมื่อวันก่อน หัวข้อก็ประมาณ "สะกิดความ สะกิดเว็บไทย ต้องสะกิดใจคนใช้เว็บ" แล้วก็ตามระเบียบเช่นเคย เอาหัวข้อที่เราจะพูดไปติดบอร์ด ให้คนร่วมงานโหวตว่าอยากฟังหัวข้อไหนบ้าง ซึ่งในใจไม่คิดอะไร เพราะหัวข้อดีๆมีอีกเยอะแยะ ระหว่างนั้นนั่งคุยกับเพื่อนๆ ที่รู้จักและเคยเห็นหน้าตากันมาตัั้งแต่ mashcamp ซักพักเดินไปโหวต เจอจำนวนหัวข้อตัวเองที่เค้ามาโหวตแล้วตกใจ ตามแน่เลย ได้พูด section แรกๆ

เข้าพิธีเปิด พี่บอยพูดเปิดได้แบบว่า รู้เลยว่าเวลา late เลยพูดแบบรวบรัดมากมาย จึงทำให้เราได้เข้ารับฟังกันเร็วหัวข้อขึ้น ฮาๆๆๆ ออกมาจากห้องก่อนฟังเรื่องแรก เดินไปเจอว่าตัวเองต้องบรรยายเป็นคนที่สองเลยค่ายเลย ตื่นเต้นแบบบอกไม่ถูก แล้วก็ประม่ามาก เพราะเรายยังเด็กอยู่นะ ฮาๆๆๆ

หัวข้อที่ผมพูด ก็ตามนี้ครับ No sensor

พอถึงคิวผม คนที่สอง Room2 ผมเข้าไปเตรียม slide กะพี่ staff แล้วปรากฏว่าไมค์ดันไม่มีเสียง ในใจรู้สึกดีครับ เพราะจะได้บอกตกล้องว่าไม่ต้องอัด แต่ก็อัดอยู่ดีนะ ผมไม้ได้เตรียมตัวพูดอะไรไปเลยครับ แต่ความจริงคือมันคิดมาตั้งแต่ตอนทำ slide แล้ว พอพูดไปๆ มันเริ่มอยู่ตัว เริ่มหายประม่า เพราะคนที่นั่งฟงัแต่คนค่อนข้างมี eyes contact กลับมาอย่างเหมือนว่าเค้าช่วยลดความประม่าของเรา จากนั้นผมก็เริ่งร่ายมนต์ตราแบบแถๆไปให้ตรงเวลา และ slide ที่เค้าบังคับ 10 slides ๆ ละ 1 นาที แต่เพื่อนผมที่นั่งฟัง บอกว่าผมลงตรงจุดและจบพอดีเกือยทุก slide ก็รอดไปนะครับ

เรื่องที่ผมพูดก็ประมาณนี้ ของเดิมที่เขียนไว้ก่อนไปแหละครับ

หลังจากพูดจบก็มีคำถาม และเกิดการเสวนาขึ้นเยอะเอาการ ซึ่งผมคิดว่าคงจะมาไล่เขียนอีกรอบนึงนะครับ มันเป็นความคิดและมุมมองที่เป็นจริงๆอยู่ทุกวันนี้จากคนเก่งๆและเว็บ มาสเตอร์เลยทีเดียว ช่วงเช้ามี 3 ห้อง ทั้งหมด 9 หัวข้อ ผมไปฟัง 2 หัวข้อและพูดเองไป 1 ขอบอกว่าติดลมบนเลยล่ะครับ จนถึงเที่ยงก็ ตัวใครตัวมัน ลงมากินข้าวด้านล่าง เป็นเหมือนโรงอาหาร ซึ่งสาวๆบัญชีจุฬาเพิ่งจะสอบเสร็จกัน มากินข้าว ก็กินไปมองไปกันตามระเบียบ โต๊ะที่ผมนั่งโชคดี ได้นั่งกับเพื่อนๆแล้วยังมีพี่โม จาก มธ มานั่งคุยกัน ตามต่อด้วยพี่ annop เว็บมาสเตอร์ thaithinkpad.com , thaihi5.com ด้วย พี่เค้ามีมุมมองและแนวคิดที่สอนผมและเพื่อนๆกลางโรงอาหารกันเลยทีเดียว ขอบอกว่าช่วงนี้ในใจผม คิดว่า สุดยอดมาก ที่ตัดสินใจมาวันนี้ พอกินเสร็จ เราก็นั่งติดลมบนกันต่อที่โต๊ะกินข้าวนั่นแหละครับ คุยเรื่องเว็บกัน วิจารย์ และพูดถึงความเป็นจริงในทุุกวันนี้ของเว็บไทย ก็ได้อะไรเยอะแยะมากกว่าเดิมอีก คุ้มมมม!!! (พี่ annop เอาสติ๊กเกอร์ thaithinkpad มาให้ผมกับเพื่อนๆกันฟรีๆ ขอบคุณมากมายครับพี่ี)

เอาไว้ก่อน เดี๋ยวมาอัพเพิ่มดีกว่า หิวครับ ตอนกลางวัน กินไปมองสาวไป มันอิ่มเอม ฮาๆๆ

วันพุธที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Traffy - รายงานสภาพการจราจรในกรุงเทพมหานคร

NECTEC ร่วมกับกรุงเทพมหานคร พัฒนาเว็บไซต์รายงานสภาพการจราจรในกรุงเทพด้วย Google Maps ภายใต้ชื่อ Traffy ซึ่งแสดงให้เห็นเส้นทางที่การจราจรคล่องตัวหรือติดขัดด้วยสีเขียว สีเหลือง และสีแดง

หน้าจอหลักของ Traffy

Traffy มีไอคอนป้ายจราจรอัจฉริยะติดอยู่ตามจุดต่างๆ ของถนน ผู้ใช้สามารถคลิกดูรายละเอียดของป้ายได้ว่าเส้นทางไหนที่รถติดอยู่บ้าง เหมือนดูจากป้่ายจริงที่ติดอยู่บนท้องถนน

นอกจากการรายงานสภาพการจราจรแล้ว Traffy ยังสามารถแนะนำเส้นทางการเดินทางที่เหมาะสมให้ได้ด้วย ผู้ใช้เพียงกำหนดจุดต้นทางและปลายทาง Traffy ก็จะค้นหาเส้นทางที่สามารถหลีกเลี่ยงการจราจรติดขัดได้ดีที่สุดให้

ถนนบางจุดในกรุงเทพมีการติดตั้งกล้องวงจรปิดไว้เพื่อตรวจสอบความคล่องตัว ของสภาพจราจร Traffy ก็มีไอคอนรูปกล้องให้ผู้ใช้คลิกดูภาพจริงจากถนนบริเวณนั้นได้ด้วย

ก่อนออกจากบ้านอย่าลืมวางแผนการเดินทางด้วย traffy.nectec.or.th/wtraffy

ThinkPad ผ่านการทดสอบความอึดทางการทหาร

Lenovo ส่งโน้ตบุ๊กตระกูล ThinkPad ไปทดสอบความอึด (Tough Test) สำหรับการใช้งานในกองทัพ และงานภาคสนามต่างๆ การทดสอบต่างๆ มีดังนี้

  • ทำงานในสภาพความกดอากาศต่ำ (ความสูง 15,000 ฟุต)
  • ความชื้นสูง (95%)
  • สั่นสะเทือน ทดสอบแรงกระแทก
  • อุณหภูมิสูง-ต่ำ (ระหว่าง -15 ถึง 60 องศาเซลเซียส) และการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิแบบฉับพลัน
  • เป่าฝุ่นเข้าไประหว่างที่เครื่องทำงานอยู่

แน่นอนว่ากลุ่มเป้าหมายของ Lenovo คือตำรวจ ทหาร และนักวิจัยภาคสนามที่ต้องออกสำรวจพื้นที่อยู่เสมอ ทั้ง 8 รุ่นนี้ได้แก่ X200, X301, X200s, X200 Tablet, T400, T500, R400 และ SL300

โอ๊ะโอ ผมก็ใช้อยู่ครับ รับรองความอึดและถึก ความเสถรียร + Sofware support ใช้ได้เลยครับ

ThinkPafd เทพครับ อาวุธสงครามสีดำ ฮาๆๆๆ ไ่ม่สวยแต่อร่อยนะฮะ

ที่มา - Engadget

Credit - http://blognone.com/

วันอังคารที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

มอง ตอน กูgle search ภาค แง่ +


Google.com ใครๆก็รู้จัก และนับว่าเป็นเว็บที่จะครองโลกอยู่แล้วนะครับผมว่า เหมือนเดิมครับ จาก blog เก่าของผมเขียนเรื่อง google ไว้เยอะอีกเหมือนกัน ย้ายมาใหม่ ก็เลยมาเขียนเจิมเป็นประเพณีให้พี่ กูgle ของเราซะหน่อย หุหุ

ไอ้เจ้าเว็บหน้าตาธรรมดาๆ กับ logo ที่ชอบเปลี่ยนตามช่วงเทศกาลอยู่เรื่อย มีช่องใส่ข้อความช่องเดียวกับปุ่มไม่กี่ปุ่ม รวมเมนูไปๆมาๆ ก็ไม่เยอะเอาซะเลย ทำไมมันถึงยิ่งใหญ่และมีจำนวนการใช้ของคนที่เล่นอินเตอร์เน็ตเยอะแยะได้ถึงเพียงนี้กัน แล้วเบื้องหลังของมันจะยิ่งใหญ่อลังการงานสร้างขนาดไหนกัน คำถามเหล่านี้ก็ลองใช้ google หาดูนะครับ 555 ขนาดเรื่องที่จะพูดถึง google ผมยังอ้างว่า ต้องใช้ google หาเลยนะครับ แสดงว่าเว็บนี้มันมีอิทธิพลมากเลย ถูกมั้ย?

ในอินเทอร์เน็ตมี Search Engine อยู่ 2 ประเภทหลักๆด้วยกัน ประเภทแรกเราจะเรียกว่าเป็น Search Engine ที่สืบค้นด้วยอินเด็กซ์หัวเรื่อง (searchable subject index) ซึ่งจะทำการสืบค้นเฉพาะชื่อหรือคำอธิบายของเว็บไซต์เท่านั้น แต่จะไม่ทำการสืบค้นในระดับ Web Page ตัวอย่างของ Search Engine ประเภทนี้ก็เช่น Yahoo! เป็นต้น อีกประเภทหนึ่งได้แก่ Search Engine ที่ทำการสืบค้นเนื้อหาทุกอย่างด้วยวิธีแบบ Full Text Search ซึ่งจะใช้การสืบค้นด้วยระบบการประมวลผลแบบ “สไปเดอร์” (spider) เพื่อที่จะจัดทำอินเด็กซ์ให้กับ Web Page ซึ่งมีเป็นล้านๆหน้า หรืออาจจะถึงหลายพันล้านหน้า ทำให้เราสามารถสืบค้นถึงในระดับ Web Page ด้วยการระบุคำที่ต้องการค้นหา (query word) ที่ต้องการ และได้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงมากกว่าการสืบค้นแบบแรก ซึ่ง Google จัดอยู่ใน Search Engine ประเภทหลังนี้

เวลาเราสืบค้นด้วย keyword มากกว่าหนึ่งคำในแต่ละครั้งนั้น Google จะมีวิธีในการจัดการกับ keyword นั้นๆ ว่าจะสืบค้น keyword ดังกล่าวไปพร้อมๆกัน หรือจะแยกสืบค้น keyword แต่ละคำออกจากกันต่างหาก วิธีการก็คือ Google จะดูที่โอเปอเรเตอร์ตามค่าเริ่มต้น (default operator) ที่ถูกกำหนดเอาไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งอาจเป็นโอเปอเรเตอร์ AND (สืบค้น keyword ดังกล่าวพร้อมๆกัน) หรือโอเปอเรเตอร์ OR (สืบค้นด้วย keyword ใด keyword หนึ่งก่อน) ก็ได้ และหากว่าโอเปอเรเตอร์ซึ่งเป็นค่าเริ่มต้นของ Google เป็น AND (หมายถึงคุณไม่จำเป็นต้องใส่คำว่า AND แทรกลงไปตรงกลางระหว่าง keyword เหล่านี้) แล้วล่ะก็ คุณก็ยังมีวิธีที่จะสั่งให้ทำการสืบค้น keyword แต่ละคำแยกกันด้วยโอเปอเรเตอร์ OR ได้ เพียงแต่ Google จะต้องรู้ก่อนว่าคุณต้องการให้มันทำอะไรกันแน่ ด้วยการดูจากโอเปอเรเตอร์ที่คุณระบุลงไปนั่นเอง

สิ่งที่ google กำลังดำเนินและเป็นอยู่ในปัจจุบัน

วิธี การที่คนส่วนใหญ่ใช้งาน Search Engine ก็คือการพิมพ์ keyword สองสามคำลงไปและรอดูผลลัพธ์ (search result) ว่าจะได้อะไรกลับคืนมาบ้าง วิธีการเช่นนี้อาจใช้ได้ผลดีสำหรับ Domain บางประเภท ทว่าเมื่ออินเทอร์เน็ตขยายตัวใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ วิธีนี้ก็จะใช้ได้ผลน้อยลงตามลำดับเช่นกัน
ดังนั้น Google จึงพัฒนาส่วนเพิ่มเติมที่เรียกว่า “ซินแท็กซ์พิเศษ” (Special Syntax) มาให้เราใช้ด้วย และในบทนี้ก็จะพูดถึงซินแท็กซ์พิเศษเหล่านั้นโดยละเอียดเลยทีเดียว ซึ่งเราอาจสรุปได้ดังต่อไปนี้

การสืบค้นภายใน Web Page (within the page)

Google มีซินแท็กซ์พิเศษที่จะทำให้คุณกำหนดการสืบ

ค้นของคุณในระดับ Web Page เช่นการระบุชื่อ หรือ URL (Uniform Resource Locator) ของ Web Page ที่ต้องการได้

ประเภทของ Web Page (kinds of page)

Google ยอมให้คุณสามารถกำหนดการสืบค้นตามประเภทของเว็บไซต์ (search by domain category) ได้ด้วย เช่น เว็บไซต์ที่มี Domain เป็นเรื่องเกี่ยวกับการศึกษา (.edu) หรือค้นหา Web Page ที่ได้มีการจัดทำอินเด็กซ์ (indexing) ในช่วงวันที่ต้องการ (specified date range) เป็นต้น

รูปแบบของเนื้อหา (kinds of content)

เมื่อ สืบค้นด้วย Google คุณสามารถที่จะค้นหาไฟล์ได้หลากหลายรูปแบบ ยกตัวอย่างเช่น เอกสารที่เป็นไมโครซอฟต์เวิร์ด สเปรดชีทของเอ็กเซล หรือไฟล์ PDF ก็ตามที นอกจากนี้คุณยังจะสามารถค้นหา Web Page ที่เขียนด้วยภาษา XML, SHTML
หรือกระทั่ง RSS ได้ด้วย

รูปแบบเฉพาะ (special collections)

Google มีคุณสมบัติในการค้นหาให้คุณได้เลือกใช้อยู่มากมายหลายแบบ และบางแบบก็ยังไม่ถูกลบออกไปจากอินเด็กซ์ดังเช่นที่คุณเข้าใจ คุณอาจจะนึกถึง Google Index ในแง่การเป็นอินเด็กซ์ของเรื่องราวใหม่ๆหรือภาพใหม่ๆเท่านั้น ทว่าคุณเคยรู้เกี่ยวกับวิธีสืบค้นข้อมูลเฉพาะ (specific information) สำหรับงานต่างๆในระดับมหาวิทยาลัยบ้างหรือไม่ หรือคุณรู้บ้างไหมว่า คุณสามารถใช้
Google ทำการค้นหาโดยแยกตาม Topic เช่น Topic ต่างๆที่มีความเกี่ยวข้องกับระบบปฎิบัติการ BSD ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
หรือ จะเกี่ยวกับลีนุกซ์ หรือแอ๊ปเปิล หรือไมโครซอฟต์ เป็นต้น รวมถึง Topic ที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับรัฐบาล (U.S Government) เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

รูปแบบไวยกรณ์การค้นหาต่างๆเหล่านี้สามารถใช้ร่วมกันได้ด้วย ซึ่งนี่แหละคือความสามารถอันพิเศษของ Google เพราะคุณจะสามารถทำการสืบค้นได้ถึงระดับรูปแบบ Web Page ที่ต้องการ ไปจนถึงระดับเนื้อหาและประเภทของ Web Page เลยทีเดียว

ลองไป search Google ดูวิธีการ search Google ในรูปแบบต่างๆดูได้ที่ Google Search นะครับ

เพียงเท่านี้ที่เป็นส่วนหลักๆที่ google search เป็นอยู่ และเพียงเท่านี้คุณก็สามารถค้นหาและล่วงรู้สิ่งที่คุณต้องการบนโลกอินเตอร์เน็ตที่กว้างใหญ่กว่าโลกที่เราอยู่กันในตอนนี้ได้แล้วล่ะครับ


กระเทาะเปลือกเว็บ ภาค แนะนำเว็บ mashup เจ๋งๆ

บ่นไปเมื่อบทความก่อนเรื่องเว็บ และเทคโนโลยี โดยเฉพาะการก้าวเข้าสู่โลกเว็บ 2.0 แน่นอน key word ที่เป็นประเด็นที่น่าสนใจ และทำอะไรๆได้ตั้งเยอะตั้งแยะในโลก internet และเว็บไซต์ communities
ว่ากันด้วย Mash UP (อันนี้จาก google กูรู)

คำว่า “mashup” หรือ "mash-up" เป็นศัพท์เฉพาะในแวดวงของนักพัฒนา application แบบ client-server ประเภทที่ทำเติมต่อขึ้นเองโดยใช้software tool และ ทรัพยากรที่ทางผู้ให้บริการจัดไว้ให้ เป็นคำใหม่ที่ใช้กันหนาหูในปี 2005 มีที่มาจากวงการเพลงเมื่อนักจัดรายการเพลงเกิดความคิดแหวกแนวโดยทดลองเปิด เพลง 2 เพลงพร้อมๆกัน ทำให้เกิดเสียงเพลงที่ผสมผสานที่แปลก และบางครั้งมีความไพเราะ และเรียกขานผลที่เกิดขึ้นว่า “mashup”

mashup ที่กล่าวถึงกันมากในแวดวงนักพัฒนาแอพลิเคชันที่ใช้บนอินเตอร์เน็ตมีองค์ ประกอบอย่างน้อย 2 ส่วน ส่วนแรกคือ application program interface (API) และทรัพยากรสนับสนุนจากเซิร์ฟเวอร์ของผู้ให้บริการ และส่วนที่ 2 คือโปรแกรมและทรัพยากรของผู้พัฒนาแอพลิเคชันนั้น (ติดตั้งอยู่ที่เว็บไซท์ของผู้พัฒนา) ต้วอย่างกรณีของ Google Maps mashup ก็จะหมายถึงเว็บเพจที่นักพัฒนาเว็บไซท์สร้างขึ้นให้มีส่วนประกอบที่เป็น แผนที่ที่สามารถทำงานแบบโต้ตอบกับผู้ใช้ได้ โดยมีแผนที่ฐานเป็นส่วนที่ Google จัดไว้ให้แล้ว และมีข้อมูลแผนที่ของตนเองซ้อนทับในลักษณะหมุดปัก (ที่สามารถแสดงข้อความซึ่งแฝงอยู่เมื่อผู้ใช้คลิกที่หมุดเหล่านั้น) หรือลักษณะอื่นที่สลับซับซ้อนกว่านั้น

มาแนะนำเว็บฯเด็ดกันเลยครับ มาดูว่าเว็บ mashup มันเป็นยังไงนะ

เรียงตามความชอบส่วนตัว 555


1. http://www.mapjack.com/ หรือแผนที่ของนายแจ๊ค
เอา Google Map API มาประชุกต์ให้เราได้ไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ + เทคนิคการถ่ายภาพอะไรไม่รู้ แต่มันทำให้เรามองได้ 360 เหมือนเดินไปเที่ยวในที่นั่น ตอนนั้นจริงๆเลยล่ะครับ สุดยอด ถูกใจมากมาย
แถมนายแจ็คดันมาชอบเมืองไทย ทำให้เราได้เดินทางทั้งเชียงใหม่ ภูเก็ต ปาย แบบได้บรรยากาศไปอีกแบบนะครับ (กล้ารับประกันว่าคนไทยไท่ค่อยรู้กันเลย)


2. http://labs.ideeinc.com/multicolr/ อันนี้คนชอบหาภาพ หาได้ดั่งใจเลย
เอา Flickr เว็บฝากรูปชื่อดังของโลกฝั่ง yahoo เลยทีเดียว แล้วยังไงน่ะเหรอครับ มันจะไปหาภาพทั้งหมดที่มีคน upload ไว้ใน Flickr ตาม สี ที่เราเลือก ว่าเราอยากได้รูปที่มีสีอะไรอยู่บ้าง โดยเลือกสีได้ตั้งแต่ 1 - 10 สีต่อรูปเลยครับ อธิบายไม่ถูก ต้องลองไปเล่นดูครับ ของเค้าดีจริง

3. ติดตามภาคต่อ (อีกนาน 555) ถ้ารอไม่ไหว ไปที่นี่เลยครับ http://mashupawards.com/