วันอังคารที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2552

วิดีโอ ที่ไปพูดในงาน ThinkCamp เรื่อง สะกิดคนทำเว็บไทย



ตามไปดูพี่ๆ เพื่อนๆ คนอื่นๆเค้าพูดบ้างนะครับ ไปเลยที่ ThinkCamp Video

วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2552

คุณเคยใช้ Google Map แล้วน้ำตาไหลมั้ย

ผมเข้าไปทำ map บ้านนอกคอกนาเป็น my map ใน maps.google.co.th มา แล้วไปเจอเมนูด้านซ้าย (ผมว่าทำตัวใหญ่ๆ เท่าบ้านเลยครับ จะได้ให้คนไทยรู้ มันเป็นความรู้ที่โลกใบนี้ควรรู้เลยนะ ผมว่า)

เมนูที่ว่า มันคือเมนูใน google maps ประเทศไทยเรานี่แหละครับ เมนูนั้นชื่อว่า โครงการในพระราชดำริ ซึ่งผมเชื่อว่าคนไทยที่ฟังภาษาไทยร้เรื่องรู้จักคำนี้ดีกันทั่วหน้า

พอผม คลิก เมนู โครงการพระราชดำริเท่านั้นแหละครับ น้ำตาแทบร่วงเอาซะตรงนั้นเลย เพราะ map ที่ปรากฏขึ้นบนจอ คิดถึงตอนไหนผมก็ขนลุก

เห็นบ้านหลังเขียวๆ ซึ่งมันมีอยู่ทั้งแผนที่ประเทศไทย ขวานทองของเราเลยนะครับ แล้วไม่ใช่มีแค่ที่ละหลังนะครับ มันเบียดมันแย่งพื้นที่มาโชว์หลังคาบ้านให้เราคลิกเต็มไปหมดเลย

ผมไม่รู้ว่าสมัยนี้เค้าคิดอะไรกันยังไงนะครับ แต่สำหรับตัวผมเอง เด็กต่างจังหวัดที่เคยเห็นความลำบาก ยากจน ของคนบ้านนอก โครงการตามพระราชดำริของในหลวง ช่วยสร้างชีวิตและคุณภาพความเป็นอยู่ในคนในพื้นที่ตรงนั้นจริงๆ แล้วโครงการแต่ละโครงการมันยั่งยืนและขยายผลต่อไปมาจนถึงวันนี้แทบทั้งนั้น ยังไม่มีรัฐบาลหรือประเทศไหนในโลกที่ทำได้อย่างนี้จริงๆนะครับ

พระองค์ท่านเสด็จไปทุกๆที่ในประเทศ ตั้งแต่สมัยที่บางที่คนธรรมดายังไปไม่ถึงด้วยซ้ำ โครงการทั้งหมด ซึ่งผลเองคิดว่าจะนั่งอ่านไปเรื่อยๆจนกว่าจะครบ 3000 กว่าโครงการที่ในหลวงทำไว้ให้แผ่นดินไทยเรา

และ google maps ทำให้ผลได้รู้ซึ่งว่า โฆษณาในโรงหนังก่อนเพลงสรรเสริญพระบารมี ชุดนึงบอกว่า ประเทศไทยและแผ่นดินไทย คือ บ้านของในหลวง

DEV ตอน The Web Development Process ภาค 1

วันนี้มาว่าด้วยเรื่องการพัฒนาและสร้างระบบเว็บไซต์กัน เจาะไปในเรื่อง project management แล้วก็ project development เกี่ยวโยงกันไปได้หลายส่วนเลยครับ

แนะนำตัวละครกันซักนิดนึง

เรามีตัวละครกัน 3 ตัวพอนะครับ เว็บโปรแกรมเมอร์ เว็บดีไซเนอร์ แล้วก็ลูกค้า

มาเริ่มกันเลย ถ้าคุณอยากจะทำเว็บซักเว็บนึงให้ลูกค้า ผมคิดว่า process เหล่านี้คงเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ

ขั้นแรก คือ Discussion หรือ การทำความเข้าใจความต้องการและข้อมูลพื้นฐานจากลูกค้าหรือจากบุคคลที่ต้องการเว็บไซต์ (บางทีก็เป็นตัวเราเอง ฮาๆ) ขั้นนี้สำคัญมากมายเลยครับ ยิ่งได้ข้อมูลเยอะ ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเว็บฯให้ตรงตามความต้องการ

ขั้นที่ 2 (หลังจากสติแตกกับการคิดความต้องกสารและเป้าหมายจากขั้นแรก ฮาๆๆๆ) เป็นการ brainstorming โดยจะเน้นไปที่ผุ้วิเคราะห์และออกแบบระบบ เพื่อประเมินและวิเคราะห์โครงสร้าง รูปแบบ ฯลฯ ของระบบโดยรวม ซึ่งถ้าใช้หลักการ System analysis เยอะๆ เข้ามาจับในส่วนนี้ คงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรมากมายครับ

ขั้นที่ 3 สำคัญมากเวอร์เลยฮะ

ขั้นนี้ designer, system analyst, programmer จะได้มาระดมพลังความคิด เพื่อวิเคราะห์และรับฟังข้อมูลของระบบ รวมถึงการระบุถึงส่วนต่างๆของเว็บฯ ที่จะต้องพัฒนา และรวมไปถึงทำความเข้าใจโครงสร้างของเว็บที่มาจากการออกแบบแล้วด้วย

ขั้นที่ 4 ว่าด้วย Planning the Content
เนื้อหาสาระของเว็บฯ ข้อมูลที่จะต้งใช้ รูปแบบการแสดงผลข้อมูล เนื้อหาต่างๆ สิ่งเหล่านี้ควรได้รับการวางแผนและจัดรูปแบบองค์ประกอบต่างๆไว้ก่อนการพัฒนา เพื่อให้เรานำเสนอเนื้อหาของเว็บได้ตามความต้องการจริงๆ

ขั้นที่ 5 เริ่มต้นการออกแบบเว็บไซต์จริง

ขั้นที่ 6 รับ Feed Back จากรูปแบบของการ design ขั้นที่ 7 แก้ไขรูปแบบจาก feedback


เดี๋ยวภาคสอง (จบ) จะมาเร็ววันครับบบบบบบบ

วันศุกร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2552

Mozilla: สู่อนาคตที่ไม่มีกูเกิล

Mitchell Baker ประธานของ Mozilla ให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร BusinessWeek ถึงความสัมพันธ์ระหว่าง Mozilla กับกูเกิล ที่ต้องแปรเปลี่ยนไปหลังการมาของ Chrome

กูเกิลนั้นจ่ายเงินให้ Mozilla ถึง 75 ล้านดอลลาร์ในปี 2007 คิดเป็น 88% ของรายได้ทั้งหมดที่ Mozilla ได้รับ หลังที่ Chrome เปิดตัว Mitchell Baker ยอมรับว่าต้องมองหาแหล่งรายได้อื่นเผื่อเอาไว้ ถึงแม้ว่ากูเกิลจะยังไม่มีท่าทีที่จะไม่ต่อสัญญาในรอบหน้าก็ตาม ทางเลือกที่เป็นไปได้สูงมี 2 ทาง อย่างแรกคือ Fennec เบราว์เซอร์สำหรับมือถือ (ซึ่งจะมีโมเดลธุรกิจลักษณะใกล้เคียงกับ Opera) ส่วนอย่างที่สอง Mozilla อาจหาเงินจากการโฆษณา Add-ons จากภายในเบราว์เซอร์ (หน้า Get Add-ons นั่นล่ะครับ)

ส่วนคำถามว่าถ้ากูเกิลไม่ต่อสัญญา Mozilla จะเอา Yahoo! หรือ Live Search มาแทนหรือไม่ Baker ตอบว่ามีผู้เล่นบางรายที่ยินดีจะจ่ายมากกว่ากูเกิล ทาง Mozilla นั้นเคยได้เช็คเปล่าให้มาเขียนตัวเลขเองจากผู้เล่นรายหนึ่ง ซึ่ง Baker บอกว่าไม่ใช่ไมโครซอฟท์

นักวิเคราะห์มองว่า Mozilla นั้นต้องการกูเกิล มากกว่าที่กูเกิลต้องการ Mozilla มาก ส่วนโฆษกของกูเกิลบอกว่าเราจะยังสนับสนุน Firefox ต่อไป

Credit : Blognone

ที่มา - BusinessWeek

วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2552

Always Somewhere

ไม่มีไรมากครับ แค่อยากให้ดูคนที่เล่นเชลโล (ผมเรียกไวโอลินยักษ์ ฮาๆ) สวยแบบตรงสเป็กเลยฮะ

นิยามความรัก จาก ศาลฏีกา

จำกันได้มั๊ยกับนายเสริม สาครราษฎร์ที่เป็นหมอฆ่าแฟนตาย
ในคดีที่นายเสริมถูกตัดสิน นายเสริมขอลดโทษโดยอ้างเหตุว่า
ตนฆ่าแฟนเพราะความรักที่ตนมี จนไม่อาจหักห้ามใจให้แฟนไปมีคนใหม่ได้ จึงขอความปราณีจากศาลให้เห็นแก่ความรักของตน


ศาลฎีกาได้ให้เหตุผลไว้อย่างงดงามถึงความรักที่นายเสริมอ้างว่ามีต่อแฟนของตน

ดังฏีกาข้างล่างนี้

ฎีกาตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย
คดีแดงที่ 6083/2546
พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด โจทก์
นางสุดา ปรัชญาภัทร โจทก์ร่วม
นายเสริม สาครราษฎร์ จำเลย

ที่ โจทก์ร่วมฎีกาว่า จำเลยควรได้รับโทษประหารชีวิต ศาลล่างทั้งสองไม่ควรลดโทษให้จำเลยเพราะคดีไม่มีเหตุบรรเทาโทษนั้น ล้วนเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น
จึงต้องห้ามมิให้โจทก์ร่วมฎีกาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว

ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยถูกผู้ตายข่มเหงจิตใจอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม
เพราะจำเลยกับผู้ตายมีความสัมพันธ์ฉันคนรัก
แต่ผู้ตายต้องการเลิกความสัมพันธ์กับจำเลยไปมีรักกับผู้ชายคนใหม่
จำเลยจึงบันดาลโทสะฆ่าผู้ตายนั้น

เห็นว่า
ความรักเป็นสิ่งที่เกิดจากใจไม่อาจบังคับกันได้ ความรักที่แท้จริงคือความปรารถนาดีต่อคนที่ตนรักความยินดีที่คนที่ตนรักมีความสุข
การให้อภัยเมื่อคนที่ตนรักทำผิดและการเสียสละความสุขของตนเพื่อความสุขของคนที่ตนรัก จำเลยปรารถนาจะยึดครองผู้ตายเพื่อความสุขของจำเลยเอง
เมื่อไม่สมหวังจำเลยก็ฆ่าผู้ตาย เป็นความคิดและการกระทำที่เห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ของจำเลยโดยฝ่ายเดียว มิได้คำนึงถึงจิตใจและความรู้สึกของผู้ตาย หาใช่ความรักไม่ ทั้งเป็นความเห็นผิดที่เป็นอันตรายต่อสังคมอย่างยิ่ง

ดังนี้
แม้จะฟังข้อเท็จจริงตามที่จำเลยฎีกาก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยถูกผู้ตายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม
กรณีไม่มีเหตุจะลงโทษจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้

ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ ศาลจึงพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยตลอดชีวิต

วันอังคารที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2552

DEV ตอน Web Service เกิ่นๆไว้



ทุกวันนี้ถ้าจะให้พูดถึงเทคโนโลยีเว็บแอฟพลิเคชั่นสมัยใหม่แล้ว คงยังไม่พอเท่าไหร่นะครับ เพราะช่วงปีสองปีที่ผ่านมาเท่าที่ผมรู้ นักพัฒนาในต่างประเทศให้มุ่งเน้นและให้ความสำคัญไปกับเทคโนโลยี web service หรือ WS กันมากขึ้น แล้วเจ้า WS นี้มันคืออะไรกันแน่นะ

Web Service อ้างอิงจาก wikipedia Thai

เว็บเซอร์วิส (Web service) คือระบบซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมา เพื่อสนับสนุนการแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ผ่านระบบเครือข่าย โดยที่ภาษาที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ คือเอกซ์เอ็มแอล เว็บเซอร์วิสมีอินเทอร์เฟส ที่ใช้อธิบายรูปแบบข้อมูลที่เครื่องคอมพิวเตอร์ประมวลผลได้ เช่น WSDL ระบบคอมพิวเตอร์ใช้งานสื่อสารโต้ตอบกับเว็บเซอร์วิสตามรูปแบบที่ได้กำหนดไว้แล้ว โดยการส่งสาสน์ตามอินเตอร์เฟสของเว็บเซอร์วิสนั้น โดยที่สาสน์ดังกล่าวอาจแนบไว้ในซอง SOAP หรือส่งตามอินเตอร์เฟสในแนวทางของ REST สาสน์เหล่านี้ปกติแล้วถูกส่งโดยอาศัย HTTP และใช้ XML ร่วมกับมาตรฐานเกี่ยวกับเว็บอื่นๆ โปรแกรมประยุกต์ที่เขียนโดยภาษาต่างๆ และทำงานบนแพลตฟอร์มต่างๆกันสามารถใช้เว็บเซอร์วิสเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลผ่านทางเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เช่น อินเทอร์เน็ต ในลักษณะเดียวกับการสื่อสารระหว่างโปรเซส (Inter-process communication) บนเครื่องเดียวกัน ความสามารถในการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างระบบที่ต่างกันนี้ (เช่น การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่าง โปรแกรมที่เขียนโดยภาษาจาวา และโปรแกรมที่เขียนโดยภาษาไพทอน หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างโปรแกรมประยุกต์ที่ทำงานบนไมโครซอฟท์วินโดวส์และโปรแกรมประยุกต์ที่ทำงานบนลินุกซ์) เกิดขึ้นได้เนื่องจากการใช้มาตรฐานเปิด โดย OASIS และ W3C เป็นคณะกรรมการหลักในการรับผิดชอบมาตรฐานและสถาปัตยกรรมของเว็บเซอร์วิส

ในมุมมองนักพัฒนาผมว่าเป็นที่ควรเรียนรู้ เพราะเราอยู่ในฐานะผู้พัฒนาสิ่งต่างๆ เราเองก็ควรจะพัฒนาความรู้รอบด้านของเราไปด้วยนะครับ
ผมคิดว่า ส่วนของผู้พัฒนาถ้าเราใช้ web service มันช่วยในการทำงานและระบบงานให้ทันสมัยและง่ายขึ้นอีกด้วยครับ เพราะระบบ WS จะตัดการทำงานที่ซ้ำซ้อนออกไป ลองมองภาพง่ายๆ อย่างนี้นะครับ ยกตัวอย่าง บริษัท ABC จำกัด มีโปรแกรมเมอร์ภายในบริษัทอยู่ 3 คน คนแรกถนัด ASP คนที่สองถนัด PHP และคนที่สามถนัด JAVA แต่งานที่จะทำเป็นชนิดเดียวกัน ครั้นจะใช้ภาษาเพียงตัวใดตัวหนึ่ง นที่ไม่ถนัดต้องมานั่งศึกษาและเสียเวลาเรียนรู้อีกพอสมควร สิ่งที่จะช่วยได้และทางออกที่ดีก็คือ WS นี่แหละครับโปรแกรมเมอร์ทั้งสามคนนี้จะต้องศึกษาภาษา XML(เป็นภาษาในการนิยามโครงสร้าง)นิดหน่อย ง่ายกว่าภาษาที่ตัวเองถนัดอยู่เยาะ หลังจากนั้นก็มีการสร้าง core ตรงกลางด้วย Web Service tools เป็นตัวบริการ (หลังการสร้างจะได้เป็นไฟล์นามสกุล .wsdl)

ไว้ติดตามภาค 2 กันนะครับ

YOU AND I

วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2552

Web Design Trends For 2009

ไปอ่านมาจากเว็บภาษาอังกฤษ คิดว่าเป็นเทรนทีเราเห็นกันบ่อยๆ ในยุคสมัยนี้แหละครับ เค้าบอกว่าจะมีการสังเกตุและมุ่งประเด็นไปที่เทรนในช่วงปลายปี 2008 - ต้นปีนี้แหละครับ พบว่ามีรูปแบบที่หลากหลายและสวยงามมากขึ้น

1. Embossing Letterpress


2. Rich user interfaces
3. PNG transparency
4. Big typography
5. Font replacement (sIFR, etc.)
6. Modal boxes
7. Media blocks
8. The magazine look
9. Carousels (slideshows)10. Introduction blocks

วันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2552

อาม่า ทดสอบ ThinkPad

ฮาดีเวอร์ ฮาๆ โชว์ถึก

ทำไมใส่แรม (RAM) เพิ่ม แล้วทำงานเครื่องคอมเร็วขึ้น

มาว่ากันด้วยเรื่อง Hardware กะ การทำงานกันซักเล็กน้อย คือ ผมได้ยินน้องๆกับหลานๆถามมา ว่าถ้าจะทำให้ใช้โปรแกรมแต่งภาพคล่องๆ เล่นเกมส์ไม่กระตุก แล้วอยากให้เครื่องทำงานเร็วขึ้นต้องเพิ่มแรมใช้มั้ย

ผมก็ตอบไปว่าการใส่แรมเพิ่มก็ช่วยได้ครับ แต่ก็ช่วยได้แต่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับ components อื่นๆของเครื่องด้วย แต่ตามหลักแล้ว ที่ผมเข้าใจเป็นไปตามนี้ครับ

ปกติแล้ว เครื่องคอมพิวเตอร์ของเราๆท่านๆ จะมีหน่วยความจำหลัก หรือ แรม RAM ซึ่งมันจะทำหน้าที่เก็บสิง่ที่ CPU ต้องประมวลผลในตอนที่เราต้องการทำงานกับโปรแกรม หรือ เล่นเกมส์ พวกข้อมูลเหล่านั้นจะถูกดึงมาเก็บไว้ในแรมนั่นแหละครับ ปัญหาคือว่า ถ้าเครื่องเรามีแรมน้อยๆ หมายถึงว่า แรมเรารับข้อมูลมาเก็บเพื่อให้ CPU เอาไปประมวลผลอีกที เกิดโปรแกรมหรือเกมส์ต้องจองและใช้พื้นที่เก็บข้อมูลในแรมมากกว่า จนแรมรับมีไม่พอ เกิดเลยกลไกหนึ่งขึ้นมา เรียกว่า Virtual Memory ซึ่งพูดง่ายๆ มันคือการ ทำพื้นที่ในฮาร์ดดิสของเราให้เป็นเสมือนแรม นั่นคือ ถ้าพื้นที่ในแรมมันเก็บข้อมูลไม่พอ ก็จะสร้างรูปแบบหน่วยความจำเสมือนขึ้นในฮาร์ดดิสแทน ทำให้เหมือนว่าเรามีแรมเพิ่มขึ้นจากการใช้พื้นที่ของฮาร์ดดิสนั่นเองครับ


คราวนี้เข้าเรื่องครับ ด้วยการที่มันทำ Virtual mem ขึ้นมาช่วยในการเก็บข้อมูลที่จะนำไปประมวลผล แรมจะเปลี่ยนหน้าที่จากการเก็บข้อมูลจริง ไปเป็นเก็บตัวชี้ข้อมูลจริงๆที่อยู่ใน Virtual mem แทน เรียกว่ากลไกการสร้าง Page table


คราวนี้แหละครับปัญหา นั่นคือ ความเร็วของ CPU กับความเร็วของแรมมันเร็วกว่าฮาร์ดดิสมาก (ความเร็วในการส่งผ่านข้อมูล) สิ่งที่เกิดขึ้นคือ CPU ต้องเสียเวลารอแรมวิ่งไปชี้ข้อมูลในฮาร์ดดิส และ ต้องรอข้อมูลจากฮาร์ดดิสที่ช้ากว่าความเร็วที่ CPU ทำงานเยอะมาก เครื่องเลยทำงานและประมวลผลได้ช้าลงตามระเบียบ

การเพิ่มแรมให้เยอะขึ้นก็เลยทำให้เราไม่ต้องไปพึ่งพา Virtual mem มากๆ ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้เครื่องเราทำงานได้เร็วขึ้นได้ด้วยนะครับ

เมื่อ Mouse เจ้งกระทันหัน

ผมใช้ ThinkPad R61i ซึ่งมันไม่มี touchpad ให้ผม มันมีแค่ trackpoint จุดแดงๆให้ผมใ้ช้ ซึ่งก็ดีครับ ไม่ว่ากันในส่วนนี้ เท่ๆ

บังเอิญว่าอยู่ดีๆวันนึง trackpoint (ซึ่งมันก็คือ mouse ของ laptop ผมแหละครับ) เกิดเจ้งแบบกระทันหันซะงั้น แล้วหัวสมองกกำลังวิ่ง รุกรี้รุรนจะทำโปรเจ๊คต่ออีกนิด เลยต้องใช้วิธีเปลี่ยน keyboard ให้ทำงานเป็น mouse ซักนิดนึง

เริ่มกันเลยดีกว่าครับ

1. Control Panel > ดับเบิ้ลคลิ๊กที่ Accessibility Option
2. จะมีหน้าต่าง Accessibility Properties > เลือกแท็ป Mouse และใส่เครื่องหมายถูก หน้า Use MouseKeys
3. กดปุ่ม Setting เพื่อกำหนดค่าใน Setting for MouseKeys
4. เมื่อกำหนดค่าต่างๆเสร็จแล้ว จะมีไอคอนเล็กๆของเม้าส์ขึ้นที่ Taskbar มุมขวาด้านล่าง
5. ปุ่มที่ใช้ในการควบคุม
- เลข 4, 6, 8, 2 คือ ซ้าย, ขวา, บน, ล่าง ตามลำดับ
- เลข 7, 9, 1, 3 คือ สั่งให้เม้าส์เคลื่อนที่ในแนวเฉียง
- กด Ctrl ค้างไว้ เพื่อเพิ่มความเร็ว

แค่นี้ก็จะทำงานได้ในนามีฉุกเฉินแล้วครับ

วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2552

แบบว่าลงวินโดว์ใหม่ อีกแล้ว

ฮาๆ ขำตัวเองจะตายเอาครับ พึ่งจะลง Windows7 ได้ 2 วันกะว่าจะช่วยเค้า Test ซะหน่อย ว่า bugs มันเป็นยังไงมั่ง ก็ใช้อยู่ 2 วันเจอเยอะแยะมากมายเอาการอยู่ครับ อย่างน้อยก็ได้ช่วยส่ง feed back กลับไป Microsoft ประมาณ 10 กว่าตัวได้เลยล่ะครับ

ใช้ Vista จนเรียกว่าจะคล่องแล้ว มาใช้ 7 ไม่มีปัญหาเท่าไหร่ครับ แต่ที่มาบ่นอยู่ในบล็อคตอนนี้ เพราะรอบนี้เปลี่ยนจาก 7 กลับมาใช้ XP หุหุ

จากการใช้งานจริง (ทำงานเยอะๆ โดยเฉพาะเปิดโปรแกรมหนักๆวัดกัน พบว่า 7 ยังเร็วและเสุียรกว่า Vista ด้วยซ้ำ ขนาดมันเพิ่งจะ Beta Testing) ก็พบว่า สุดท้ายการทำงานอย่างที่ผมทำ ใช้ XP นะจะเข้ากับงานตอนนี้มากที่สุด โดยส่วนตัวจากที่ใช้มาเห็นจะๆเลยครับเวลาเปิด Netbean ตามด้วย DB2 ตามด้วย Tomcat ไม่ยั้ง เอา photo CS4 อัดเข้าไปอีก ทำให้เครื่องของผมเต่าไปเลย โดยเฉพาะเวลาโหลด context ต่างๆ

หันกลับมาว่าด้วย XP หลังจากห่างหาย ไม่ได้ลงใหม่และไม่ได้ config นาน พอลงเสร็จปั๊บ (Windows XP SP2 licence แท้ๆ ของคณะฯแจก ฮาๆ) ซึ่งไม่มีอะไรให้เลย นั่งโหลด Driver (ผมใช้ Lenonvo ThinkPad R61i) ไปซํกพักนึง ทนไม่ไหว ไปโหลดตัว System Update จากลง driver คงจะง่ายกว่า เลยจัด SystemUpdate ไป ซักพักถึงเจอปรากฏการณ์เครื่องรวนแปลก หน้าจอกระพิบป๊าบๆๆๆ Bios ร้องด้วย เฉยเลย งงค่ดๆ นั่งเล่นกีต้าร์อยู่ไกลๆ รีบเดินกลับมาดูเจอภาพประมาณนี้ฮะ

สุดท้ายถึงได้รู้ว่า อ๋อ... ด้วยการที่มันไม่มีอะไรให้ พออัพเดทไปซักพักดันไปเจอ Device คราวเดียวซะเยอะ แล้วระหว่างที่เจอก็กำลัง install driver บางตัวพอดี เลยได้ยินและได้เห็นภาพอะไรประมาณนั้น ส่วนภาพที่เอาลงนี้ สังเกตที่ system tray ผมตีกรอบแดงเล็กๆไว้ครับ มันขึ้น found devices อื้อซ่ามหาศาลเลย งงๆ ฮาๆๆ

ตามกระแส ตอน แง่ลบจาก ปสก ตรงๆ

ไปอ่านเจอบทความใน เด็กดี มาครับ เห็นว่าดี แล้วอีกอย่างเพื่อนผมเองก็โดนอะไรแบบนี้มาจนชินแล้วก็เกือบตายมาละครั้งนึง เพราะสิ่งต่างๆต่อไปนี้

ผมไม่ได้หัวรุนแรงหรือต่อต้านอะไรนะครับ เรื่องเกาหลี ผมชอบ อยากไป และก็เห็นสิ่งที่ดีๆของเค้ามาเยอะ คราวนี้มาดูมุมที่ต้องเตรียมตัวและเตรียมใจถ้าไปจะอยู่ (นานๆ) นะครับ

ว่าด้วย...

คนเกาหลีใต้ นิสัยดุดัน ไม่ค่อยมีมารยาท หัวรุนแรง

พลเมืองที่มีภูมิหลังอยู่ในประเทศอย่างเกาหลีนี่จะมีวัฒนธรรมแข็ง หรือ hard culture ความต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดได้ เพื่อให้มีกินมีใช้ ทำให้คนพวกนี้มีนิสัยดุดัน ต้องการอะไรต้องเอาให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีธรรมดาหรือด้วยวิธีรุนแรง คนเกาหลีที่ไปเที่ยวหรือไปทำมาหากินในประเทศไหนๆ ก็จะโดนเจ้าของประเทศด่าว่าเป็นพวกรุนแรง ฉุนเฉียว โมโหง่าย ไม่เก็บอารมณ์ และมีปัญหากับเจ้าของประเทศอยู่บ่อยๆ

ยังจำได้ถึงสมัยที่ไปเยือนเกาหลีใต้ครั้งแรก ผมตกใจแทบแย่เมื่อเจ้าหน้าที่ที่มาต้อนรับดูแลผมโดนเจ้านายด่า ด่าต่อหน้าผมซึ่งเป็นแขกนี่แหละ ตะโกนดุดันลั่นห้อง โดนด่าขนาดนั้น แต่ลูกน้องไม่โต้ตอบกลับแม้แต่คำเดียว ต่อมาผมก็จึงถึงเข้าใจสภาพอารมณ์ของคนเกาหลีว่าเป็นพวกเจ้าอารมณ์และไม่เก็บ ความรู้สึก พร้อมที่จะตะโกนก้องร้องความในใจออกมาตรงๆ โดยไม่อาย ไม่เกรงใจใคร ไม่เคยเอาใจเขามาใส่ใจเรา ฯลฯ

นอกจากชอบดื่มเหล้ากันทั้งชายหญิงอย่างจริงจังแล้ว คนเกาหลียังชอบสูบบุหรี่ สูบกันทั้งหญิงชาย ถ้าผู้อ่านท่านสังเกตพวกที่รักษาวัฒนธรรม ขนาดใหญ่ของตัวเองไว้ได้เป็นห้วงช่วงเวลานับเป็นพันๆปีอย่างจีนและรัสเซีย ท่านจะเห็นว่าทั้งสองประเทศมีวัฒนธรรมอะไรหลายอย่างคล้ายเกาหลี คือชอบดื่ม ชอบกิน และสูบบุหรี่จัดเหมือนกัน

คนเกาหลีชอบตัดหน้า ผู้อ่านท่านที่เคยยืนคิวซื้อของในเกาหลีใต้คงจะเข้าใจในความที่ชอบตัดหน้า ของคนเกาหลีได้ดี การมีคนวิ่งเข้ามาแย่งแซงคิวเป็นเรื่องธรรมดา บางทีนี่เบียดเสียดกันจนเราแทบจะล้ม แต่ก็ไม่มีใครเอ่ยปากขอโทษ อันนี้แสดงให้เห็นถึงคนเกาหลีนั้นติดนิสัยต้องได้รับก่อน

ผู้อ่านอยากให้นิติภูมิเขียนถึงเกาหลีใต้ ถึงตอนนี้ก็เขียนอะไรไปเยอะแล้วครับ พบกันใหม่ในวันพรุ่งนี้ คืนนี้นิทราราตรีสวัสดิ์ สวัสดีครับ ลาไปก่อนครับ.

นิติภูมิ นวรัตน์

ความคิดเห็นที่ 1

แน่นอนที่สุด เคยไปเกาหลีแล้ว เข้าห้องน้ำ (อึ) แล้วห้องคงเต็ม X เกาหลีมันมาทุบประตูใหญ่ ไม่มีมารยาท ก้อบอกแล้วว่า I'm in here!! มันคงฟังอังกริดไม่รู้เรื่อง ถีบประตูเข้ามา เลวมาก เคยต้องนั่งอึต่อหน้ามัน

ความคิดเห็นที่ 3

จริงค่ะ ผู้หญิงเกาหลีดโดยเฉพาะแม่ค้าน่ากลั่วมาก ผู้ชายเกาหลีชอบใช้สายตาเหยี่ยดหยามดูถูกคนต่างชาติทั้งๆที่ไม่ได้ทำอะไรให้ มันมีแต่ในละครเท่านั้นที่คนเกาหลี show ว่าตัวเองสุภาพอ่อนโยน เรื่องจริงไม่มีหรอกจ้า ยิ่งถ้าใครเคยไปเรียนไปใช้ชีวิตที่นั้นเป็นระยะแล้วก้อจะรู้ แล้วจะไม่คิดกลับไปอีก

ความคิดเห็นที่ 7

ไม่ได้เป็นทั้งประเทศ แต่ส่วนใหญ่เป็น เราเคยไปเรียนที่นั้น 3 เดือน ไม่ไหวอ่ะ ร้องไห้ทุกวัน ทุกคนนิสัยดุมาก หาเพื่อนก็ยาก คนชอบผลักชอบแย้ง จะคุยกับเด็กนักเรียนผู้ชายก็ไม่ได้ โดนพวกเด็กผู้หญิงมองแบบดูถูก ก็ต้องคบกับพวกคน japan + hongkong+australia +america แต่ก็ดีนะพวกนั้นนิสัยดีเราเลยอยู่ได้

ความคิดเห็นที่ 46

อันนี้เพื่อนเล่าให้ฟังนะ คือเพื่อนเราไปรักษาสิวที่คลินิกอะ แล้วคนเยอะมากรอคิวนานแต่เพื่อนเราไปกัน 2 คน นั่งรอในร้านก่อนคนเกาหลีมาอีก แต่ไอเกาหลีมันขอบัตรคิวแล้วออกไปนอกร้านเดินเล่นอะ เพื่อนเราก้อรออยู่ยังไม่ได้รักษานะทั้งๆที่มาก่อนมันและมีคนรออีกมาก พอเกาหลีเดินเข้าร้านมันก้อโวยวาย ด่าพนักงานที่เคาเตอร์ แล้วก้อเอาเท้ามันเหยียบขึ้นที่นั่ง แล้ว ด่าๆๆๆๆๆ จนคนในร้านตะลึง ทั้งๆที่คนอื่นก้อรออยู่เหมือนกัน

credit: http://topicstock.pantip.com/klaibann/topicstock/2008/06/H6751368/H6751368.html

แฟนคลับเกาหลี ด่าคนไทยผ่านคอมเม้น

คือว่า ... เราไปนั่งแปล คอมเม้นจากที่คนเกาหลีคอมเม้นในไซเวิล
จากที่อ่านมา ทั้งหมด... ขอเน้นนะ ว่าทั้งหมด
ดูถูกคนไทยมากมายอ่ะ
คอนเม้นแต่ละคอมเม้นบอกว่า
ประเทศไทยมีกล้องด้วยหรอ...
เด็กที่เต้นพวกนั้นเป็นคนยากจนอย่างงั้น อย่างงี้
คนเกาหลีบางคนก็บอกว่า ชั้นจะเอาเงินให้คนพวกนั้น(คนที่เต้น) เผื่อจะทำให้อะไรมันดีขึ้น บลาๆๆๆ
บางคนก้อบอกว่า ... อย่าไปเต้นอย่างงั้น จะทำให้ดูแย่ไปกว่าเดิม

แล้วยิ่งไปกว่านั้น จขกท. โมโหมากมาย มี(อี)คนเกาหลีคนนึง มันเม้นในนั้นบอกว่า
อย่าไปสนใจพวกนั้นเลย มันบ่งบอกถึงสภาพบ้านเมือง..

ไม่เชื่อดู>>>> http://video.cyworld.com/205236384

ใครเคยเจอแบบนี้บ้าง....เกี่ยวกับมารยาทนักท่องเที่ยว(เกาหลี)
เราเป็นคนไทยที่ชอบท่องเที่ยวในเมืองไทย(เป็นส่วนใหญ่)
เคยสังเกตเห็นนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะชาวเกาหลีที่มาเที่ยวในไทย
มักจะตะโกนโหวกเหวก เวลาตักอาหารก็ตักมากมาย(แต่ทานไม่หมด)
แถมยังไม่ค่อยต่อคิวเวลาที่ตักอาหาร(ชอบแทรก) ขนาดเด็กเล็กๆเข้าแถวตักอาหาร
พวกท่านยังเบียดแย่งซะงั้น น่าเบื่อจริงๆ
เดินชนคนโน้นคนนี้ไปเรื่อย เคยเจอกับตาเลยนะ
ผู้ชายเกาหลีเดินชนผู้หญิง(ฝรั่ง)แทบกระเด็น นายยังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ขอโดทษก็ไม่มีให้เห็น
ผิดกับชาวญี่ปุ่นนะ พวกเขาสุภาพมากกว่าเป็นไหนๆ
และกลุ่มชาวฝรั่ง ส่วนใหญ่ที่พบ ค่อนข้างสุภาพ
หรือว่าพวกนักท่องเที่ยวชาวเกาหลี เขาทะนงตนว่าเป็นชาติผู้ยิ่งใหญ่
บางทีนะเวลาไปเที่ยวหรือพักที่ไหน ภาวนาอย่าให้เจอกับกรุ๊ปทัวร์เกาหลีเลย เซ็งจิต

credit:pantip

ความคิดของคนเกาหลี ต่อประเทศไทย
"ข้อวิพากษ์วิจารณ์ของเกาหลีที่มีต่อคนไทยก็คือ คนไทยเป็นคนขี้เกียจ ตัดสินใจช้า มัวแต่โอ้เอ้ ชอบความสบาย รักความสนุกสนาน ไม่มีความมุ่งมั่นทำสิ่งใดอย่างจริงจัง ไม่มีเป้าหมายในการทำงาน และเป็นสังคมที่ขาดระเบียบวินัย อีกทั้งจะยังเตือนคนเกาหลีด้วยกันเองว่า คนไทยเป็นคนไม่น่าคบ ควรจะแสวงหาประโยชน์จากคนไทยและเมืองไทยให้มากๆ"

เครดิต : M-Thai.com

และแหล่งอ้างอิงส่วนตัวของผมด้วยฮะ หุหุ

วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2552

ผมเคยสัมผัส Z/OS น๊า

ตั้งแต่เด็กซื้อหนังสือคอมมาอ่าน เจอประเภทของคอมพิวเตอร์ ซึ่งสมัยนั้น Mainframe Computer เป็นสิ่งที่ไกลและอยู่ในความฝันผมเหมือนกันว่าจะมีโอกาสได้เจอและสัมผัสมัน ซักครั้ง

พอขึ้นมหาวิทยาลัยมา ก็เกิด step แรกของความฝันผมขึ้น เพราะที่คณะฯ (คณะเทคโนโลยีสารสนเทศมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี) มีคอมพิวเตอร์ที่เรียนกว่า mainframe คอมพิวเตอร์อยู่ ซึ่งเค้าบอกว่าเป็นเครื่องแรกในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีเพื่อให้นักศึกษาได้ใช้กันเลยทีเดียวเชียวนะครับ หุหุ

ได้เจอ เครื่องครั้งแรกตอนปีหนึ่ง ตื่นตาตื่นใจกับตัวเรื่องและราคาเครื่องมากมาย ฮาๆๆๆ แล้วก็คิดในใจว่า ซักวันคงจะได้จับอยู่ในห้องที่มี mainframe และจับมันบ้าง

มาปี2 เรียน Operating System คราวนี้ อาจารย์ใจดีทำความฝัน step 2 ให้เกิดขึ้นได้แล้ว เพราะอาจารย์เอา mainframe มาสอน มีวิทยากรจาก IBM mainframe มากันเลยทีเดียว โดยส่วนตัวนับว่าเป็นโชคดีของผม อาจารย์สอน mainframe พวกเราในด้าน mainframe OS ซึ่งบอกได้เลยว่า คนละโลกกับคอมพิวเตอร์ที่เราๆท่านๆใช้กันอยู่ทุกวันนี้โดยชิ้นเชิงกันเลย ครับ

หลังจากการเรียน lab mainframe OS หรือชื่อของมันคือ Z/OS เวลารวมน่าจะประมาณ 10 ชม. ได้นะครับ ช่วงแรกๆในการเรียน มันเป็นความรู้สึกที่ยากมากๆ เคยใช้ OS พวก Windows, linux มาเท่าไหร่ เจอ Z/OS เข้าไป มันเเหมือนอีกหนึ่งโลกที่มีแต่หน้าจอสีดำ กะ ตัวหนังสือ 3 สี ฮาๆๆ โครงสร้างข้อมูล รูปแบบการทำงาน มันเข้าใจยากและลึกซึ้งมากมาย

พอ เรียนไปซักพัก ประมาณ 6 ชม. ก็เริ่มจับประเด็นและพอรู้หลักการทำงานของ data และการจัดการ data เบื้องต้นของ Z/OS จนได้ ฮาๆๆ แต่ lab มันหมดแล้ว ตอนนี้ก็คิดถึงมันอยู่นะครับ ถ้าทำงานสายนี้ คงต้องเก่งและได้เงินเยอะน่าดู หุหุ

FWD ดีๆ ภาค ความรักกับชาติปางก่อน

ไปอ่านบล็อคอีกบล็อคเจอมา อ่านแล้วขนลุกดีครับ ว่าด้วยเรื่องที่ผมเองก็เชื่อว่า มันเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับโลกนี้เลยก็ว่าได้

"มีชายหญิงคู่หนึ่งรักกันมาก คบกันมา 3 ปี ทั้ง 2 ตกลงจะแต่งงานกัน

เมื่อกำหนดวันเรียบร้อย ฝ่ายชายเองก็รอคอยวันที่จะแต่งงาน
ต่อมาไม่นานฝ่ายชายรู้ข่าวว่า คู่รักของตนแต่งงานกับคนอื่นอย่างกะทันหัน
โดยฝ่ายหญิงเองก็เต็มใจ ไม่ได้ถูกบังคับแต่อย่างใด
เมื่อได้ทราบข่าว เขาทั้ง งง และ เสียใจ มาก
ร้องไห้ไม่กินไม่นอน ไม่นานก็ป่วยหนักเพราะตรอมใจ

เวลาผ่านไป ฝ่ายชายป่วยหนักขึ้นเรื่อยๆไปหาหมอเท่าไหร่ก็ไม่ดีขึ้น
ขณะที่นอนซมอยู่ที่บ้านนั้น มีหลวงตาแก่ๆผ่านมา
เมื่อมาถึงหลวงตาหยุดอยู่ที่หน้าบ้าน แล้วมองเข้าไปในบ้านจึงเคาะประตู
เด็กรับใช้ออกมาเปิดประตูพบว่า เป็นพระ จึงบอกว่า ไม่ทำบุญนิมนต์ข้างหน้า
หลวงตายิ้มอย่างมีเมตตาแล้วพูดว่า อาตมาไม่ได้มาบิณฑบาต
ในบ้านมีคนป่วยใช่มั้ย อาตมาพอมีความรู้ทางด้านการแพทย์นิดหน่อย
ไม่รู้จะพอช่วยได้รึปล่าว เด็กรับใช้ได้ฟังก็อึ้งแต่ก็บอกว่าตัดสินใจเองไม่ได้
ต้องขอไปถามเจ้านายก่อน เด็กรับใช้เดินเข้าไปในบ้านถามเจ้านาย
เจ้านายตอบอย่างตัดรำคาญว่าอยากเข้ามา ก็เข้ามา!

เมื่อหลวงตาเข้าไปพบที่ห้องนอนพบว่า
ชายคนดังกล่าวนอนอย่างหมดอาลัยตายอยากอยู่บนเตียง
สีหน้าซีดเซียว ร่างกายซูบผอมประหนึ่งครึ่งคนครึ่งศพ
เด็กรับใช้นำน้ำมาถวายหลวงตา พร้อมจัดเก้าอี้ถวายข้างๆเตียงของชายคนนั้น
หลวงตายิ้มแล้วพูดว่าอาการหนักเลยนะ
ชายคนนั้น นิ่งเงียบไม่สนใจในสิ่งที่หลวงตาพูด
หลวงตาตรวจอาการพอเป็นพิธี จึงกล่าวว่า โทรมมากเลยนะ
ชายคนนั้นไม่สนใจ หลวงตาบอกว่าไม่เชื่อ ลองมองที่กระจกสิ
ชายคนนั้นไม่สนใจ แต่ขณะที่หางตาชายไปที่กระจกแต่งตัวในห้องนอน
เขามองเห็นภาพของคนที่รักอยู่ในนั้น ไม่นานภาพของคนรักก็ค่อยๆจางหายไป
กลายเป็นภาพทิวทัศน์ชายทะเล

ที่ชายทะเลแห่งนั้นเงียบสงบ ไม่มีคนผ่านไปมา
ขณะที่ชายคนที่ป่วยนั้น มองภาพในกระจกด้วยความสนใจนั้น
เขาพบว่า มีศพหญิงสาวนอนเปลือยกายอยู่ที่ชายหาด
เวลาผ่านไปสักครู่ มีชายคนหนึ่งเดินผ่านมา
เขามองเห็นศพหญิงคนนั้นด้วยความรังเกียจ แล้วเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ต่อมาพักใหญ่มีชายอีกคนหนึ่งเดินผ่านมา เขามองเห็นศพนั้น
เขาสงสารจึงถอดเสื้อนอกออกมาคลุมร่างของหญิงคนนั้น แล้วเดินจากไป

พักใหญ่ๆอีกเช่นกัน มีชายอีกคนเดินผ่านมา
เขาพบคนนอนมีผ้าคลุมอยู่ จึงเปิดออกดู เมื่อพบว่า เป็นศพ
ด้วยใจสงสาร จึงจะฝังให้เรียบร้อย แต่ก็ไม่มีเครื่องมือจะขุด
เขาจึงตัดสินใจใช้มือทั้ง 2 ข้างๆ ค่อยๆกอบทรายขึ้นมา
เขาทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนเย็น พอได้หลุมใหญ่พอสมควร
จึงได้ฝังศพผู้หญิงคนนั้นเรียบร้อยแล้วจากไป

จากนั้นภาพในกระจกก็เปลี่ยนเป็นภาพของศพหญิงคนนั้น
และก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นภาพของหญิงคนรัก เขาได้เห็นก็ตกใจ
พอสักพัก ก็ปรากฏเป็นภาพชายคนที่ 2
แล้วก็ค่อยๆจางหายไป เหลือแต่เงาของตัวเองในกระจก

ทันใดนั้นหลวงตาพูดว่า ทีนี้เข้าใจรึยัง ศพนั้นคือคู่รักของโยม
ชายคนที่ช่วยฝังศพเธอ ผูกวาสนากับเธอหนึ่งชาติ
ชาตินี้เธอเลยแต่งงานกับเขา
ส่วนโยมช่วยคลุมศพเธอ
จึงผูกวาสนา 3 ปี ตอนนี้ครบ 3 ปี วาสนาสิ้นแล้วก็ต้องจากกัน

เมื่อชายคนนั้นฟังจบก็กระอักเลือดออกมา เด็กรับใช้ตกใจมาก
หลวงตายิ้มแล้วบอกว่า โยมรอดแล้ว เมื่อกี้โยมกระอักเลือดเอาเลือดเสียออกมาแล้ว
ต่อมาไม่นานชายคนนั้นก็ได้ออกบวชในที่สุด

คนเราเจอกัน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ความสัมพันธ์ พ่อ , แม่ , พี่ , น้อง ,
ญาติ , เพื่อน , ศัตรู , คนรัก ฯลฯ ไม่ใช่ของเลื่อนลอย

เมื่อมีวาสนา ไม่ต้องเรียกร้อง ถึงเวลาก็มาเจอกัน
เมื่อสิ้นวาสนา ก็ต้องจากกัน รั้งยังไงก็ไม่อยู่


ในตอนที่ยังไม่จากกันนี้ คุณทำได้ทำดีต่อคนของคุณหรือยัง
เพราะ ถึงเวลาที่ต้องจากกัน ไม่ว่าคุณจะมีเงินหรืออำนาจล้นฟ้า
ก็เรียกมันกลับ คืนมาไม่ได้ ทำดีต่อกันไว้ดีกว่า
เพราะไม่มีใครรู้ว่า เราจะต้องจากกันเมื่อไหร่
"

Credit : MeawzNoy

วันอาทิตย์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2552

ของชอบเค้าละ ตอน Google Maps Thailand

เซ็งเป็ดเลยครับ โดนดัก อึตส่าห์ลงชื่อไปร่วมงาน Googl Maps Thailand วันที่ 26 กพ. ที่เพิ่งจะผ่านมา ไป ThinkCamp มาเมื่อวานก็เห็นคนที่ไปพูดกันซะเยอะแยะมากมาย สำหรับ features ใหม่ๆ เจ๋งๆ ของ Google Maps แง้ๆๆๆ เสียดายค่ดๆครับพี่น้อง

ช่างมัน วันนี้เอา Review ที่เป็นภาษาไทยมาให้ดูครับ เผื่อใครที่สนใจเข้าไปใช้กัน แล้วเห็นว่ามันดี มีประโยชน์ ก็ต้องรู้นะครับ ว่า maps เหล่านั้น เราสามารถดึงมาใช้ในเว็บของเราได้ ซึ่งในส่วนนี้ลองไปศึกษาดูได้จาก http://code.google.com/apis/maps/ นะครับ รับรองว่าถ้าคุณสนใจ คุณสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับเว็บคุณให้น่าสนใจได้แน่นอน แล้วก็เป็นประโยชน์ต่อทั้งผู้ให้และผู้รับด้วยนะครับ ^_^

ThinkCamp Continue.

จาก Review แรก



ช่วงบ่าย หลังจากกินข้าว และดูสาวๆ แล้วก็เสวนากันเสร็จแล้ว ก็เดินกลับไปฟังการบรรยายรอบบ่าย แบบว่า ขึ้นไปปั๊บไปเจอทีมงาน duocore กำลังสัมภาษณ์และบ่นกันอย่างเมามัน ฮาๆๆๆ แล้วก็เจออาจารย์ศุภเดชแห่ง beartai.com ก็มาถึงแล้วเช่นกัน

ช่วงบ่ายคิดว่าเป็นช่วงนี้เลือกฟังตามใจจริงๆครับ คราวนี้เข้าไปฟัง ช่วงแรกๆ ร้อนๆ บรรยากาศเลยเสียงบ่นดัง และคุยกันใหญ่เลยในช่วงแรก เพราะบางกลุ่มก็เริ่มมีเรื่องมาทอร์คกันแบบว่า มันปากกันเลยล่ะครับ

การบรรยายช่วงบ่าย แต่ละคนสุดยอดและสุดบอดทั้งนั้น ผมเข้าไปฟังช่วงครึ่งแรกก่อนพักเบรค มันได้ข้อคิดและแนวคิดใหม่ๆ เยอะเลย ส่วนครึ่งหลังเบรคก็ได้จอ elgg module web CMS สำหรับ social networking สำเร็จรูป ที่แนวและน่าใช้มากๆเลย

ไว้ผมจะไปดึง URL ของวิดีโอและ Slides ต่างๆ มาจาก ThinkCamp อีกทีนะครับ